TOP
h
  /  TECH & DESIGN

บุคลิกสปอร์ตและรูปแบบที่ชัดเจน เจเนอเรชันใหม่ของการผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยี และการออกแบบอันสง่างาม สิ่งนี้ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์คลาสสิกน่าดึงดูดกว่าที่เคย   Dynamically relaxed การออกแบบ C-Class ใหม่ ดูล้ำสมัยกว่าที่เคยเมื่อมองจากภายนอก: เส้นสายที่ลดลง และสัดส่วนที่ไหลลื่นมีพลัง แสดงถึงความหรูหราทันสมัยสไตล์สปอร์ต   Sporty lightness องค์ประกอบของการออกแบบอันทรงพลัง กระตุ้นให้การขับเร็วเป็นเรื่องสนุก C-Class นั้นคล่องตัวเป็นพิเศษ ทั้งยังขับง่ายด้วยระบบล้อหลังช่วยเลี้ยวซึ่งมีให้เป็นตัวเลือกเสริม   Expressive from every angle เส้นสายด้านข้างที่สะอาดตาไปจนถึงด้านหลังที่ปิดท้ายด้วยไฟท้ายสองส่วน การออกแบบที่โดดเด่นทั้งกลางวันและกลางคืนนี้สะกดใจ   Perfection in the spotlight DIGITAL LIGHT ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมนั้นสว่างและชัดเจนอย่างยิ่ง ไฟหน้าแบบ LED ประสิทธิภาพสูง มอบความปลอดภัยและทัศนวิสัยที่ดีขึ้นตามมาตรฐานการออกแบบ โดดเด่นเน้นรูปลักษณ์ด้านหน้าอันทรงพลัง   Sensitive sports steering wheel พวงมาลัยที่ไม่เพียงแค่บังคับทิศทาง แต่ยังเป็นองค์ประกอบในการทำงานอีกมากมายของรถยนต์ และฟังก์ชันอันหลากหลายของ MBUX มีเซ็นเซอร์ที่ตอบสนองต่อการสัมผัส   At home on the road อย่าออกจากพื้นที่ปลอดภัยของคุณ- ขยายขอบเขตมัน C-Class ใหม่นำโลกส่วนตัวอันผ่อนคลายสะดวกสบายของคุณมาสู่ท้องถนน -----||-----   Simply convenient เทคโนโลยี คุณจะได้สัมผัสบรรยากาศภายใน C-Class เหมือนที่ S-Class ประสบความสำเร็จ: จุดเด่นอันชาญฉลาด เช่น เทคโนโลยีเสมือนจริงสำหรับการนำทางที่เสริมด้วยสำเนียงแบบสปอร์ต ระบบ MBUX รุ่นใหม่ มอบความสะดวกสบายในระดับสูงสุด   People at its heart ห้องโดยสารและระบบควบคุมแบบดิจิทัล ได้รับการออกแบบอย่างครอบคลุมโดยคำนึงถึงผู้โดยสารเป็นหลัก   Easy to use จอแสดงผลส่วนกลางดูเหมือนเกือบจะลอยออกมาและเอนเข้าหาคนขับ MBUX ฟังก์ชันสำคัญของรถสามารถควบคุุมผ่านระบบสัมผัส   Analogue design highlight ช่องแอร์ทรงกลมสามอันเหนือจอแสดงผลกลาง มีรูปลักษณ์เหมือนชิ้นส่วนไอพ่นของเครื่องบิน -----||-----   Sustainably electrifying ยานยนต์ ยนตรกรรม C-Class รุ่นใหม่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ: ในเครื่องยนต์ไฮบริดอันนุ่มนวลทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และด้วยปลั๊ก-อินไฮบริด รถสามารถแล่นได้ในระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับประสบการณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้าที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในอนาคต   Striking front เทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพบรรจุอยู่เบื้องหลังกระจังหน้าทรง diamond grille แบบ AMG   Exclusive material mix วัสดุที่ดูเหมือนหนัง ไม้วีเนียร์ และอะลูมิเนียมแท้ ได้รับการคัดสรรมาผสมผสานเพื่อสร้างพื้นผิวที่เป็นนวัตกรรม   Sustainable performance หนึ่งในรถรุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุดอย่าง C-Class เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน นี่คือทุกสัมผัสของความสะดวกสบายสำหรับอนาคต   เรื่อง: JULIA MENGELER ภาพ: MERCEDES-BENZ AG

Mercedes-EQ กำลังบันทึกบทใหม่เรื่องเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า กับ EQS ใหม่: หนึ่งในสิ่งที่ยั่งยืน เร้าอารมณ์ และหรูหรา การผสมผสานที่น่าตื่นเต้นระหว่างการออกแบบศิลปะและเทคโนโลยีล้ำสมัย คือสิ่งที่ทำให้ Alicia Keys (นักร้องนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน) รู้สึกทึ่งกับ EQS ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบทเพลงอันอ่อนไหวของศิลปิน รูปแบบแคมเปญใหม่ของรถซีดานหรูไฟฟ้าทั้งหมดคันแรกของเมอร์เซเดส-อีคิวนี้ จึงดูเหมือนลอยละล่องลงราวกับมาจากดาวดวงอื่น ทิ้งตัวลงมาอย่างนุ่มนวล เข้ามาหาซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ตาสบตา ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อที่เป็นธรรมชาติ และดูเหมือนง่ายดาย ระหว่างนวัตกรรมยานยนต์และความตระการตา การเชื่อมต่อนี้เป็นหัวใจหลักของ EQS และทำให้ยนตรกรรมนี้เป็นที่ต้องการมากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าทั้งคันที่อยู่ในแถวหน้าของตระกูลเมอร์เซเดส-อีคิว แสดงให้เห็นถึงความหรูหราที่ยั่งยืนและก้าวล้ำ ในแบบที่รถยนต์คันอื่นไม่เคยทำมาก่อน   ลักษณะเฉพาะที่สะท้อนให้เห็นรูปแบบของ EQS: รูปลักษณ์ภายนอกเป็นไปตามภาษาการออกแบบที่ชัดเจน ซึ่งถ่ายทอดสายเลือดทางเทคโนโลยีสู่โลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพและสง่างาม อันเป็นคุณลักษณะเฉพาะของยนตรกรรมทั้งหมดจากตระกูลเมอร์เซเดส-อีคิว โดย EQS เปลี่ยนเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ให้เป็นประสบการณ์ความหรูหรารูปแบบใหม่ ที่ดึงดูดทุกความรู้สึก และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความมั่นใจ เพราะ EQS คือยนตรกรรมแห่งความรับผิดชอบในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเราทุกคน   มาค้นพบเรื่องราวของ EQS ใหม่ ยานยนต์ไฟฟ้าระดับหรูคันแรก ที่ mbmag.me/eqs

เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเปิดตัว “The new S-Class” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่สุดแห่งยนตรกรรมในตระกูลเอสคลาสของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่พร้อมมอบประสบการณ์ความหรูหราและความปลอดภัย ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ ทั้งในเรื่องของการมอบความสะดวกสบายในการขับขี่ การปกป้องผู้โดยสารในทุกเบาะที่นั่ง ตลอดจนการมอบประสบการณ์การใช้งานแบบอินเทอร์แอคทีฟ ที่ตอบทุกความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ผ่านระบบดิจิทัลในทุกรายละเอียด   The new S-Class มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,925 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ มอบพละกำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 600 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.4 วินาที โดยขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เครื่องยนต์ชุดนี้นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย   การออกแบบภายนอกของ The new S-Class ถ่ายทอดความหรูหราออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity ในภาษาดีไซน์ที่ได้รับการยกระดับขึ้นในทุกๆ ส่วน ภายใต้การตีความใหม่ให้ดูโมเดิร์นยิ่งกว่าที่เคย ตั้งแต่ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ดีไซน์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ล้อแบบ AMG ขนาดใหญ่สูงสุด 20 นิ้ว กับระยะฐานล้อที่ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิมมากถึง 51 มิลลิเมตร เส้นโค้งหลังคา Catwalk line ที่กดองศาของหลังคาให้ต่ำลง ทำให้รถยนต์คันนี้ดูสปอร์ตขึ้น ทว่าพื้นที่ห้องโดยสารไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ การออกแบบให้มือจับประตูเป็นแบบไร้รอยต่อ (Seamless door handles) ยังช่วยเพิ่มความกลมกลืนของเส้นสายทางด้านข้าง และช่วยให้การล็อกและปลดล็อกประตู ทำได้อย่างสะดวกสบายเพียงใช้มือสัมผัสที่มือจับประตู   ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่นที่มอบทั้งความหรูหรา คุณภาพระดับสูง และวิสัยทัศน์ในการขับขี่ที่ดีที่สุด พรั่งพร้อมด้วยระบบ ENERGIZING comfort control ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 เฉดสี ระบบปรับอากาศพร้อม AIR BALANCE package ที่ทำให้ห้องโดยสารสะอาดยิ่งขึ้น และระบบเครื่องเสียงจากลำโพง Burmester 3D surround sound system ที่ให้คุณภาพเสียงที่มีมิติลุ่มลึก ฯลฯ ในห้องโดยสารยังพร้อมมอบประสบการณ์ดิจิทัล ที่ตอบรับความต้องการของผู้โดยสารในทุกที่นั่ง ตั้งแต่เบาะที่นั่งตอนหน้าเรื่อยไปจนถึงตอนหลัง เริ่มตั้งแต่การออกแบบคอนโซลหน้าด้วยรูปลักษณ์ใหม่ที่ดูโมเดิร์นขึ้น และตอบรับกับสรีระของผู้ใช้มากขึ้น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง Nappa leather และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ความละเอียดสูงแบบ Digital Instrument clusters ขนาด 12.3 นิ้ว    นอกจากนี้ The new S-Class ยังนำทุกปุ่มควบคุมตรงคอนโซลส่วนกลางให้เข้ามาอยู่บนหน้าจอ MBUX7 แบบทัชสกรีน ขนาด 12.8 นิ้ว ทั้งหมด โดยใช้หน้าจอแบบ OLED ที่มอบพื้นที่การใช้งาน (active area) บนหน้าจอที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมกว่า 64% ภายใต้การออกแบบในลักษณะฟรีฟอร์มดูบางเบา ทว่าตอบสนองฉับไว ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันการทำงานของรถยนต์ และฟังก์ชันต่างๆ ภายในห้องโดยสารได้อย่างใจ เพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยผสานการทำงานร่วมกับระบบจดจำโปรไฟล์ผู้ขับขี่ ด้วยการสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint scanner) ที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ขับขี่แต่ละคน เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลตลอดการขับขี่ได้อย่างตรงใจ เบาะที่นั่งตอนหลังแบบมัลติคอนทัวร์ ยังมาพร้อม Rear Seat Comfort Package ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายในการโดยสารสูงสุด ทั้งการเป็นเบาะไฟฟ้าที่สามารถปรับตำแหน่งที่นั่งได้ และฟังก์ชันการนวด ENERGIZING ที่สามารถเลือกโปรแกรมการนวดได้สูงสุด 6 โปรแกรม   ระบบมัลติมีเดีย MBUX7 (Mercedes-Benz User Experience) เจเนอเรชันใหม่ จะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ขึ้นอีกขั้น ทั้งการมี MBUX Interior Assistant ที่จะทำงานอย่างฉับไว ในการตอบรับการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้โดยสาร โดยระบบ Gesture Control 2.0 จะตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือ ศีรษะ และร่างกาย เพื่อแปลความต้องการของผู้ใช้ นำไปสู่การควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ภายในรถยนต์ เช่น หากยื่นมือขึ้นหรือลงทางกระจกมองหลัง ไฟอ่านหนังสือจะติดขึ้นหรือดับลงเองโดยอัตโนมัติ ฯลฯ ส่วนระบบ MBUX High-End Rear Seat Entertainment จะทำงานร่วมกับ Rear Tablet หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ยกระดับการควบคุมความบันเทิงของผู้โดยสารตอนหลัง ให้สะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมความบันเทิงบนหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว 2 หน้าจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง โดยภายในห้องโดยสารยังมาพร้อมระบบเสียง Burmester 3D surround sound system พร้อมชุดลำโพง 15 ตัวด้วย   ใน The new S-Class ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลังเป็นครั้งแรก ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Parking Package with 360° camera) ที่มอบมุมมองรอบรถยนต์แบบ 360 องศา ที่เสมือนจริงยิ่งกว่าที่เคย ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE PLUS ที่ดีขึ้น ระบบ ATTENTION ASSIST รุ่นใหม่ที่ช่วยตรวจจับความผิดปกติของผู้ขับขี่ และส่งสัญญาณเตือนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงระบบความปลอดภัยที่รวมอยู่ใน Driving Assistance Package เจเนอเรชันล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น Evasive Steering Assist ที่ช่วยดึงให้รถยนต์กลับมาอยู่ในเลน หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน Active Emergency Stop Assist หรือระบบการหยุดรถฉุกเฉินที่จะทำงานตลอดเวลา รวมถึงฟังก์ชัน Exit Warning ที่จะทำงานหากมือของผู้โดยสารมีการขยับไปใกล้ที่จับประตูด้านใน ฯลฯ   มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วันนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะให้ทุกคนได้พบกับ “The new S-Class” รถยนต์ที่ดีที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ทั้งยังเป็นรถยนต์หรูที่ขายดีที่สุดทั้งในตลาดโลกและในตลาดไทย สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสคลาส รุ่นใหม่นี้ เรามีความภาคภูมิใจที่ได้นำเสนอรถยนต์ที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นที่สุด ทั้งในเรื่องความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ภายใต้การผนวกเอานวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำหน้า ที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ มาถ่ายทอดผ่านทุกรายละเอียดของการออกแบบ โดยเฉพาะประสบการณ์การเชื่อมต่อบนรถยนต์ผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สาย ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ จับมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 4G LTE ในประเทศไทยโดยเฉพาะ จึงช่วยให้ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น ที่จะสามารถเปิดรับประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นที่สุด ในแบบของรถยนต์รุ่นเอสคลาสได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ “The new S-Class” สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และทำการจองรถยนต์กับผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้”   The new S-Class มีวางจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่  Mercedes-Benz S 350 d Exclusive ราคา 6,690,000 บาท Mercedes-Benz S 350 d AMG Premium ราคา 7,190,000 บาท   พร้อมให้ลูกค้าผู้สนใจจับจองได้ตั้งแต่วันนี้ โดยลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The new S-Class และรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

ความหรูหราของการสร้างสรรค์รถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม ด้วยการ เปิดตัว “Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium” สุดยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์ พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ ผสานความหรูหราเหนือระดับ เช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class เข้ากับความแข็งแกร่ง และอเนกประสงค์ในแบบรถยนต์เอสยูวี ที่เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย พร้อมตอบโจทย์ความต้องการรถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2564 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมย้ำความมุ่งมั่นที่เรามีต่อตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย โดยเฉพาะเซกเมนต์รถยนต์เอสยูวี ที่เรามองเห็นความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ด้วยการเปิดตัว “Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium” รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ โดยนอกจากจะเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่ไม่ประนีประนอม ทั้งในเรื่องของความหรูหราเหนือระดับ เช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class และการสร้างสรรค์รถยนต์สายพันธุ์เอสยูวี ที่มีความอเนกประสงค์และแข็งแกร่ง พรั่งพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ มั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า ที่กำลังมองหายนตรกรรมอเนกประสงค์ที่ตอบทั้งโจทย์ด้านความหรูหรา และความแข็งแกร่งในแบบเอสยูวี” Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium คือสุดยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศใหม่ ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องความกว้างขวางของห้องโดยสาร ความสะดวกสบายเหนือจินตนาการ ดีไซน์ที่มีความสง่างาม และความหรูหราเหนือระดับเช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class พร้อมทั้งความแข็งแกร่งและอเนกประสงค์ในแบบรถยนต์เอสยูวี ที่เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ให้การขับขี่แบบ off-road ที่ดีที่สุด โดยมาพร้อมขุมพลังดีเซลขนาด 2,925 ซีซี ให้กำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,200 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7 วินาที การขับขี่ยังมอบความเพลิดเพลินและราบรื่น ด้วยระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ที่ให้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้รวดเร็วและนุ่มนวล พร้อมประหยัดเชื้อเพลิงกว่า 6.5% ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “Full time” แบบ 4MATIC ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถและการทรงตัวบนถนนที่เปียกลื่น รวมถึงการขับขี่ บนทางแบบ OFF-ROAD ให้คุณสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างเฉียบคม มั่นใจ และให้ความนุ่มนวลตลอดการเดินทางในทุกสภาพถนนด้วยระบบช่วงล่างแบบ AIRMATIC และเป็นครั้งแรกที่จะได้พบกับฟังก์ชันเตรียมรถเข้าสู่เครื่องล้างอัตโนมัติ โดยจะทำงานอย่างสอดคล้องร่วมกับระบบ AIRMATIC เพียงสั่งงานผ่านหน้าจอ media display ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นที่เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความเข้มของแสง และความยาวของลำแสงได้อิสระจากกัน โดยมีระบบตรวจจับวัตถุที่คำนวณความสว่างอัตโนมัติ และไฟท้ายแบบ LED พร้อมล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบา ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ 21 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (Panoramic sliding sunroof) ที่เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่ ภายในห้องโดยสาร ซึ่งรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่าน ได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวางและสะดวกสบายมาตรฐานเดียวกับ S-Class ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 มิลลิเมตร จึงมีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างและโปร่งสบายขึ้น โดยเฉพาะที่นั่งแถว 2 ที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมบันทึกตำแหน่งที่นั่งได้ และยังสามารถปรับเลื่อนเบาะถอยหลังได้ถึง 10 เซนติเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับวางขา โดยพนักพิงสามารถปรับเอนได้มากกว่าเดิม ส่วนเบาะที่นั่งแถวที่ 3 เป็นที่นั่งแบบ full-size รองรับผู้โดยสารที่มีส่วนสูงได้ถึง 194 เซนติเมตร พร้อมระบบ EASY-ENTRY ที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เบาะและพนักพิงของที่นั่งแถว 2 สามารถพับขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เข้าสู่ที่นั่งแถว 3 ได้ง่ายดายขึ้น ทั้งนี้ เบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถพับได้อย่างอิสระ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายและเพิ่มพื้นที่ความจุสำหรับเก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตร ตอบสนองทุกความต้องการ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความกว้างขวางตามแบบฉบับยานยนต์อเนกประสงค์ ในห้องโดยสารยังเพิ่มสุนทรียภาพด้วยระบบไฟส่องสว่างแบบ Ambient Light ที่มีให้เลือกถึง 64 สี โดย Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังมาพร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากมาย โดยเฉพาะ Mercedes me connect ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้าและผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยทำงานร่วมกับระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ พร้อมหน้าจอสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 เพื่อความบันเทิงแบบ MBUX Rear Seat Entertainment จำนวน 2 จอ ขนาด 11.6 นิ้ว พร้อมระบบควบคุมหน้าจอแบบสัมผัส เพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยหูฟังแบบ wireless head sets คุณภาพสูง Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 6,499,000 บาท   📍 ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium และเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ   ------------------------------------------------------------------ WORD / PHOTO : MERCEDES BENZ-THAILAND ที่มา : Mercedes Card Journal Issue 01/2021

Mercedes Me Adapter คือนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึง และแสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ Mercedes-Benz แบบ Real-time เช่น เช็คปริมาณน้ำมัน และตรวจสอบสภาพรถยนต์พื้นฐาน ณ ขณะนั้น โดยการเชื่อมต่อรถยนต์ Mercedes-Benz ของคุณผ่านอุปกรณ์ Mercedes Me Adapter และแสดงผลผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes Me บนสมาร์ทโฟนของคุณ Mercedes Me Adapter ช่วยให้คุณรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่จำเป็นในการดูแลรถยนต์ Mercedes-Benz ให้พร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันการติดต่อนัดหมายรับบริการที่ศูนย์บริการ หรือติดต่อขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาของคุณในการค้นหาที่จอดรถ เมื่อไปสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และช่วยคุณตามหารถของคุณในลานจอดรถ ซึ่งทำให้การเดินทางของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มากไปกว่านั้น คุณยังสามารถเก็บข้อมูลการเดินทางต่างๆ จาก Mercedes Me Adapter ไว้บนสมาร์ทโฟนของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการใช้รถ ระยะทางที่ใช้ เวลาที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อใช้ในการวางแผน และประหยัดเวลาในการเดินทาง และช่วยให้ชีวิตของคุณง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชั่นพื้นฐานต่างๆ ที่สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันตรวจสอบลมยาง ฟังก์ชันเตือนการล้างรถ หรือฟังก์ชันวัดอุณหภูมิทั้งในและนอกรถ ที่สามารถปรับได้ดังใจ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่ารถยนต์ Mercedes-Benz จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ และรู้สึกวางใจทุกครั้งที่สตาร์ทรถ อุปกรณ์ Mercedes Me Adapter ไม่เพียงแต่ช่วยให้รถยนต์ของคุณคงความเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ เหมือนดังเช่นวันแรกที่คุณรับรถ แต่ยังเพิ่มความทันสมัยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์คันโปรดของคุณได้เพียงปลายนิ้ว   สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Mercedes Me Adapter บน Apple App Store (iOS) และ Google Play Store เพื่อตรวจสอบรุ่นรถยนต์ที่สามารถใช้งาน Mercedes Me Adapter ฟรี ที่ ระบบ iOS ที่ Apple App Store : http://mb4.me/MmAios และระบบ Android ที่ Google Play Store: http://mb4.me/MmAAndroid สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการ Mercedes-Benz อย่างเป็นทางการใกล้บ้านคุณ   ----------------------------------------------------------------- ที่มา : Mercedes Card Journal / Issue 01-2021 Word / Photo : Mercedes-Benz Thailand

อยากตรวจสอบสมรรถภาพรถ ครบกำหนดเช็คระยะ แต่ก็ไม่สะดวกใจ ถ้าต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้คน! เรื่องง่ายๆ เพียงแค่การนำรถเข้าศูนย์บริการฯ ก็กลับกลายเป็นเรื่องยากลำบากทันที ในยุคที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นวันนี้ ที่ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีของสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิต New Normal ที่ต้องเว้นระยะห่าง ไร้การสัมผัส พร้อมมอบความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกัน มาทำความรู้จักนวัตกรรมการบริการรูปแบบใหม่ Drop & Go CONTACTLESS Service ครั้งแรกในประเทศไทยกับบริการนำรถเข้าศูนย์ฯ แบบไร้การสัมผัส เชื่อมต่อเทคโนโลยีที่มอบทั้งความสะดวกสบายและปลอดภัย โดย เบนซ์ตลิ่งชัน และ แอทต้า ออโต้เฮ้าส์ ผู้จำหน่ายและให้บริการเมอร์เซเดสเบนซ์ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ได้สร้างสรรค์ขึ้นตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง โดยผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถนำรถเข้าศูนย์ฯ ได้เพียงปลายนิ้วรวดเร็ว ปลอดภัย ไร้การสัมผัส ผ่านบริการแอปพลิเคชันในแพลตฟอร์มออนไลน์ ตอบโจทย์ทั้งในเรื่อง ความสะดวก ช่วยให้จองนัดเข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็วทันใจ ประหยัดเวลา เพื่อจะได้ใช้เวลาที่เหลือไปทำภารกิจอื่นๆ ได้ด้วย ปลอดภัย เพราะไม่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับใคร เลี่ยงการนั่งรออยู่ในศูนย์บริการฯ ที่มีคนจำนวนมาก สำหรับ บริการ Drop & Go CONTACTLESS Service นวัตกรรมการบริการรูปแบบใหม่นำรถเข้าศูนย์ฯ สามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ เพียง ADD LINE @benztalingchan หรือ @attaautohaus แล้ว CLICK MENU > Drop & Go CONTACTLESS เลือกวัน เวลา กรอกข้อมูลรถยนต์ และการบริการที่ท่านต้องการ ขับรถมาที่ศูนย์ฯ DROP กุญแจรถยนต์ของท่านในกล่อง drop box และ สามารถกลับบ้านได้ทันที สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ไร้การสัมผัส จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการติดต่อกลับด้วยระบบ e-document และชำระค่าสินค้าและบริการผ่านระบบ e-payment ความไฮเทคยังไม่หมดเพียงเท่านี้! สำหรับผู้เข้ารับบริการที่ แอทต้า ออโต้เฮ้าส์ ดิจิทัลโชว์รูมแห่งแรกในไทย บนถนนราชพฤกษ์ ยังสามารถพูดคุยกับที่ปรึกษาบริการแบบเสมือนจริงผ่าน ATTA BOT แอทต้าบอท หุ่นยนต์อัจฉริยะ ที่จะคอยต้อนรับและอำนวยความสะดวก บริเวณจุดส่งมอบรถยนต์ Service Lobby อีกด้วย ทั้งนี้นอกเหนือจากบริการ Drop & Go CONTACTLESS สุดทันสมัยแล้ว สำหรับผู้ที่มาที่ศูนย์บริการฯ ด้วยตนเอง เบนซ์ตลิ่งชัน และแอทต้า ออโต้เฮ้าส์ ยังให้บริการนำรถเข้าศูนย์ฯ ถึงบ้าน Delivery & Pick up @HOME, บริการตรวจสอบสภาพรถถึงบ้าน Mobile Service @HOME ที่ครอบคลุมทั้งการซ่อมบำรุงตามระยะทาง และบริการซ่อมสีและตัวถังจากอุบัติเหตุต่างๆ ด้วยเครื่องมือและทีมช่าง (Certified Technicians) ที่ได้รับการแต่งตั้งและรับรองอย่างเป็นทางการ จาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย (Mercedes-Benz Authorized Service Center & Body & Paint Center) อีกด้วย สัมผัสประสบการณ์การให้บริการสุดพิเศษที่แสนสะดวกสบาย ปลอดภัย มั่นใจในมาตรฐาน ได้ที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์มาตรฐานทั้ง 2 แห่ง -เบนซ์ตลิ่งชัน (Authorized Mercedes-Benz Service Center & Authorized Body& Paint Workshop) 24hrs.Call Center: 0 2767 8888 LINE OA: @benztalingchan -แอทต้า ออโต้เฮ้าส์ (Authorized Mercedes-Benz Service Center) 24hrs. Call Center: 0 2045 9999 LINE OA: @attaautohaus

ทั้งบริษัท สตาร์ต-อัพ และเหล่าศิลปิน กำลังผสมผสานสิ่งทอเข้ากับอัลกอริทึม (algorithms) รวมทั้งนำขยะของเสียมาพัฒนาให้กลายเป็นนวัตกรรมสุดเจ๋ง และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้นำบางอย่างของการสร้างสรรค์เหล่านี้ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของยานยนต์ที่ผลิตออกมา   สิ่งทอเนื้อนุ่มจากขวดพลาสติก สิ่งที่คุณเห็น ณ ที่นี้ไม่ใช่ผืนหนัง หากแต่เป็นผ้าไมโครไฟเบอร์ Dinamica ที่มีความยั่งยืนจากบริษัท Miko สัญชาติอิตาเลียน เหนืออื่นใดผ้าไมโครไฟเบอร์ชนิดนี้ผลิตจากเส้นพลาสติกจากขวด PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล และวัสดุชนิดนี้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการศึกษาและพัฒนา มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าในอนาคต ส่วนประกอบของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นวัสดุที่ได้จากกระบวนการรีไซเคิล ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ recyclates โดยนับจากปี 2021 ผ้าไมโครไฟเบอร์ Dinamica ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนมากขึ้น จะถูกนำมาใช้ในยวดยานบางรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์   NEW PERSPECTIVES วัสดุทางเลือกและเทคนิคก้าวล้ำ คือสิ่งช่วยเผยมุมมองใหม่ๆ ดังสิ่งที่เรานำมาแสดงให้เห็น ณ ที่นี้ บางส่วนได้ผ่านการทดลองและทดสอบ และบางอย่างได้ถูกนำไปใช้ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นที่เรียบร้อยทั่วทั้งโลก แนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยาการให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กำลังถูกทดสอบอย่างจริงจังมากกว่าที่เคย คำถามพื้นฐานที่มักจะพบ ประเภท

เมื่อ เมอร์เซเดส-เบนซ์ คัดเลือกเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ มาในอีเวนต์อันมีสีสัน ทำเลของงานก็เข้ากับสถานการณ์เป็นอย่างมาก รูปนี้ถ่ายที่ฮอลแลนด์ และเป็นพื้นที่ที่มีธีมเป็นฮอลแลนด์ใน Europa-Park อยู่ไปทางเหนือของ Freiburg im Breisgau ในประเทศเยอรมนี ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดแสดงยานยนต์รุ่นล่าสุุดในสวนสนุุกที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี มีฉากหลังในเวลากลางคืนที่น่าประทับใจ พร้อมด้วยการสร้างสรรค์ภาพจากช่างภาพ บล็อกเกอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ หนึ่งในนั้นคือ เน็ตไอดอล Younes Zarou หนุ่ม วัย 22 ปี ซึ่งใช้ประโยชน์จากสีสันของแสงไฟในความมืด เพื่อถ่ายภาพตนเองใน รถ Vision EQS อินฟลูเอนเซอร์คนนี้ มีแฟนคลับจำนวนมากมาย และในปัจจุบันเขาสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ติดตามมากกว่า 14 ล้านคน บนแพลตฟอร์ม TikTok ด้วยวิดีโอแนว illusion และชุมชนของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุด เขาโพสต์คลิปเพิ่มเติมใน TikTok และ Instagram ซึ่งเขาให้คุณแอบดูกลเม็ดที่น่าประทับใจของเขา ที่ อินสตาแกรม @youneszarou หรือคลิก https://www.instagram.com/p/CEwJqSKKhC7/ นอกจากนี้ยังมีเบื้องหลังการถ่ายภาพที่น่าสนใจกับ Vision EQS ที่ยูโรปา-พาร์กด้วย   ------------------------------------ ที่มา: MERCEDES ME MAGAZINE Issue 03/2020

"My job is my life" Kelvyn Colt ถูกขนานนามว่าเป็นอนาคตของวงการฮิปฮอปเยอรมนี นั่นเป็นเพราะศิลปินอายุ 26 ปีคนนี้ ได้วางแผนสำหรับอาชีพของเขาในแบบพอเพียง เป้าหมายของเขา ซึ่งก็คือการมีอิสรภาพให้มากที่สุด ส่วนหนึ่งถูกสะท้อนจากการที่เขาเลือกใช้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแบบ EQC Kelvyn Colt มีบุคลิกที่โดดเด่น แม้ท่ามกลางถนนอันวุ่นวายในย่าน Steglitz ของกรุงเบอร์ลิน ทั้งเสื้อผ้าสีพาสเทล ผมทรงเดรดล็อกสีบลอนด์ หมวกที่เขาเรียกว่า “do-rag” ซึ่งค่อนข้างนิยมในหมู่ชนฮิปฮอป Kelvyn Colt ใช้ชีวิตแบบฮิปฮอปอย่างมีแฟชั่น ทั้งสื่อและแฟนๆ ของเขาถือว่าชายอายุ 26 คนนี้ เป็นหนึ่งในแรปเปอร์ที่มีความสามารถมากที่สุดในเยอรมนี เขาเป็นตำนานฮิปฮอปที่หลายๆ คนคิดว่าสามารถโด่งดังในระดับโลกได้ ในแต่ละเดือนมีผู้ฟังมากกว่า 1 ล้านคน คลิกเข้ามาสตรีมเพลงของเขาทาง Spotify   Colt ควรจะได้เป็นทนายความ แต่เขาก็ลาออกจากการศึกษากฎหมาย หลังจากเข้าเรียนเพียงไม่กี่วัน ความพยายามครั้งต่อไปของ Colt ในการศึกษาธุรกิจในลอนดอน ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่จะได้ไปต่างประเทศ “ผมรู้มานานแล้วว่าอยากเป็นศิลปิน แต่ผมไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ผมคิดว่าอย่างน้อยผมควรที่จะมอบปริญญาให้พวกท่าน” Colt กล่าว   Career with a purpose แรปเปอร์ลูกครึ่งเยอรมัน-ไนจีเรียจาก Wiesbaden คนนี้ ไม่ได้ตั้งใจร่ำเรียนที่มหาวิทยาลัยในลอนดอน เพียงเพื่อให้พ่อแม่ดีใจ แต่เขามองว่าวิชาเรียนอย่างธุรกิจและการตลาด อาจช่วยเขาได้ในวันข้างหน้า เขามองตัวเองเป็นนักดนตรีและนักธุรกิจ การสื่อสารกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง กลยุทธ์การโฆษณา และความร่วมมือกับแบรนด์ที่มีความสำคัญในปัจจุบัน เขาชอบทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง หรือทำงานร่วมกับฝ่ายบริหารที่ประกอบด้วยผู้หญิงโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ในโลกฮิปฮอปที่ผู้ชายมักเป็นใหญ่ โดยทั่วไป Colt ทำหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างจากคนรอบข้าง เขาเป็นทูตแห่งความเท่าเทียมและความหลากหลายในอุตสาหกรรมนี้ นี่เป็นเพียงปัญหาบางส่วนที่ Colt ร่วมต่อสู้ในฐานะสมาชิกของชุมชน EQ เขาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2019 จุดหมายเพื่อรวบรวมผู้คนที่ต้องการสร้างความแตกต่างมาพบกัน   ในช่วงต้นปี Colt ถึงขนาดไถ่ถอนสัญญาของตัวเองออกจากค่ายเพลง และก้าวกระโดดอย่างกล้าหาญสู่ความเป็นอิสระทางศิลปะและธุรกิจ เขาทำตามซูเปอร์สตาร์อย่าง Jay-Z ซึ่งเป็นหนึ่งในไอดอลของ Colt “ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของสิทธิ์ในเพลงของคุณในฐานะศิลปิน คุณก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพนักงานของค่ายเพลง” ตอนนี้ Colt เป็นเจ้านายตัวเอง และเป็นเจ้าของงานศิลปะของตัวเอง ซึ่งเขาทำการตลาดเองในระดับสากล ตรงกันข้ามกับแรปเปอร์ชาวเยอรมันคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องธรรมดาที่ Colt จะแรปเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก การแข่งขันที่สูงเปรียบเสมือนแรงกระตุ้นให้เขา “แน่นอนว่าผมอาจจะรู้สึกประหม่าที่ต้องต่อสู้กับศิลปินฮิปฮอปอย่าง Drake, Kanye West และ Travis Scott ซึ่งมีผู้ฟังรายเดือนบน Spotify และบริการสตรีมมิ่งอื่นๆ เกินกว่า 10 ล้านคน แต่ผมมองมันเป็นแรงบันดาลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันจุดประกายความทะเยอทะยานของผม”   London, Berlin and Paris เจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะประสบความสำเร็จ ยังเห็นได้จากการที่เขาคุยโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา เขาแทบไม่ได้วางสมาร์ตโฟนลง แม้จะโพสอยู่หน้ากล้องก็ตาม คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสายรู้ดีว่าเขาจะต้องหยุดสายสั้นๆ เพราะช่างภาพจะต้องการความสนใจของ Colt อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คนที่คุยกับเขาจากอีกฟากหนึ่ง แทบไม่เคยรู้สึกว่า Colt ฟังแบบไม่ตั้งใจ หรืออยากจะทำอย่างอื่น "งานของผมคือชีวิตของผม เมื่อผมไม่ได้อยู่ในสตูดิโอหรือเขียนเพลง ผมก็จะกำลังตอบอีเมลหรือโทรศัพท์อยู่" แต่งานไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับเขา “ผมพยายามจัดเวลาให้ตัวเองด้วย” จากนั้นเขาก็ไปเยี่ยมครอบครัวของเขา พาสุนัขไปเดินเล่น แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย Colt เดินทางไปมาระหว่างลอนดอน เบอร์ลิน ปารีส และสหรัฐอเมริกา บางครั้งต้องอยู่โดยไม่มีกระเป๋าเดินทางเป็นเวลาหลายเดือน เขาใช้เวลาว่างที่มีกับเพื่อนในแวดวงต่างๆ Colt มีเพื่อนมากมาย แม้ขณะที่พบกับเรา เขามีเพื่อนที่บังเอิญตกเครื่องมาเยี่ยมเขา ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็ได้ใช้เวลาว่างที่ไม่คาดคิดในเบอร์ลินกับ Kelvyn Colt   Music sounds instead of engine sound เขายังมีความสุขกับวิถีชีวิตที่อาชีพของเขามอบให้ “การเดินทางอย่างสะดวกสบายเพลิดเพลินกับอาหารดีๆ นี่คือสิ่งที่ผมให้ตัวเอง” Colt อธิบาย ขณะเอาสมาร์ตโฟนใส่ในกระเป๋าของชุดสีเขียวพาสเทล ซึ่งออกแบบโดย Virgil Abloh ซูเปอร์สตาร์คนใหม่แห่งวงการแฟชั่น ที่เพิ่งเปิดตัวความร่วมมือกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ Colt รู้ว่าเขามีชีวิตโชคดีขนาดไหน “ที่ไนจีเรีย แค่มีระบบการดูแลสุขภาพที่ใช้งานได้นั้น เป็นสิ่งที่หรูหราสุดยอดแล้ว” ความเห็นอกเห็นใจ และตระหนักในจริยธรรมและสิ่งแวดล้อมของเขา ก็มีบทบาทสำคัญต่อการเดินทางของเขาเช่นกัน เขาชอบขับด้วยระบบไฟฟ้า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ EQC นั้นใช้งานได้จริงในเมือง ผมไม่ต้องการเสียงเครื่องยนต์  การฟังเพลงได้ชัดเจนที่สุด คือสิ่งสำคัญมากกว่าสำหรับผม”   EQC 400 4MATIC ด้วยระยะทำการที่ไกลอย่างเหลือเชื่อ เทคโนโลยีการชาร์จอัจฉริยะที่น่าทึ่ง และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ รถรุ่น EQC ให้ความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นของการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า การขับขี่โดยแทบไม่มีเสียงเครื่องยนต์ แต่ด้วยอัตราเร่งที่ตอบสนอง และเร้าใจในทุกการขับขี่ ภายนอกของ SUV ไฟฟ้าคันนี้ ยังเปล่งประกายความบริสุุทธิ์ สงบ และทันสมัย ที่น่าหลงใหล มันเป็นศูนย์กลางของภาษา การออกแบบใหม่ของความหรูหราที่ก้าวหน้าอย่างแท้จริง Model: Mercedes-Benz EQC 400 4MATIC อัตราบริโภคพลังงานเฉลี่ย (กิโลวัตต์ชั่วโมง/100กม.): 21.3-20.2 ค่าไอเสีย CO2 เฉลี่ย (กรัม/กม.): 0 ระยะทำการ (กม. ตามระบบ NEDC**): จนถึง 429-454 กำลังสูงสุด (กิโลวัตต์ /แรงม้า): 300/408 อัตราเร่ง (0-100 กม./ชม.): 5.1 วินาที ความเร็วสูงสุด (กม./ชม.): 180 (จำกัด) **NEDC (New European Driving Cycle) เป็นวิธีวัดค่าการใช้พลังงาน การขับขี่ด้วย Mercedes me App และ Mercedes me Charge แอปพลิเคชัน Mercedes me จะบอกคุณเกี่ยวกับสถานีชาร์จทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่ของคุณ โดยนำเสนอการวางแผนเส้นทางที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงจุดชาร์จผ่านการนำทางด้วย Electric Intelligence ส่วนระบบ Mercedes me Charge ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเครือข่ายการชาร์จสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ใบแจ้งหนี้จะถูกส่งทุกเดือนโดยอัตโนมัติและโปร่งใส แอป Mercedes me ยังช่วยให้คุณสามารถตั้งอุณหภูมิที่สะดวกสบาย ระหว่างการเดินทางไปกับรถเมอร์เซเดส โดยตั้งโปรแกรมสำหรับเครื่องปรับอากาศในฤดูร้อน และเครื่องทำความร้อนที่ในช่วงฤดูหนาวได้อย่างสะดวกผ่านแอป สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่ mercedes.me ------------------------------ เรื่อง: HANS BUSSERT ภาพ: HENRIK ALM ที่มา: Mercedes Me Magazine Issue 03/2020