TOP

MORE INTERESTING TOPICS

ในระหว่างการเดินทางหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด บนท้องถนน เช่น ยางรั่ว ยางแบน หรือยางระเบิด คงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกแน่ ดังนั้น ยาง Run Flat ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถต่อไปได้อย่างปลอดภัยหากเกิดการสูญเสียแรงดันลมยาง จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเดินทางมีความปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น ยาง Run Flat จะถูกเสริมความแข็งแรงของแก้มยาง เพื่อช่วยประคองไม่ให้รถเสียการทรงตัวและสามารถวิ่งต่อไปได้ ซึ่งความแข็งแรงของแก้มยางนี้ส่งผลให้ยาง Run Flat ในยุคแรกมีความกระด้างมากกว่า ยางทั่วไป ซึ่งทางมิชลินก็ไม่ยอมเสียชื่อในเรื่องของความนุ่มนวล จึงได้คิดค้นเทคโยโลยีใหม่ให้กับ “MICHELIN PRIMACY 3 ZP” ยาง Run Flat ที่ยังคงความนุ่มสบายตามสไตล์ตระกูล “ไพรมาซี่” ของมิชลิน MICHELIN PRIMACY 3 ZP เป็นยาง Run Flat คุณภาพสูง ที่มีความนุ่มนวลโดดเด่นกว่ายาง Run Flat ทั่วไป และนับเป็นยางกลุ่มพรีเมียม ที่นุ่มสบายที่สุดรุ่นหนึ่งของมิชลิน โดยสัญลักษณ์ ZP ที่ต่อท้ายชื่อรุ่นบนแก้มยางนั้นหมายถึง Zero Pressure เป็นยางที่มีเทคโนโลยีพิเศษ มีการเสริมความแข็งแรงของแก้มยาง ช่วยให้รถยนต์แล่นต่อไปได้แม้สูญเสียลมยางไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ รถจะยังวิ่งไปต่อได้ด้วยเสถียรภาพที่ใกล้เคียงกับปกติ ในความเร็วที่ไม่เกิน 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ด้วยระยะทางที่มากถึง 80 กิโลเมตร นั่นเพียงพอที่จะวิ่งไปศูนย์บริการในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างปลอดภัยโดยที่ไม่ต้องลงรถไปเปลี่ยนยางอยู่ข้างทางหลวง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย โดยยาง MICHELIN PRIMACY 3 ZP สามารถใช้ร่วมกับระบบ TPMS (Tire Pressure Monitoring System) ของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อตรวจเช็กแรงดันลมยางและแจ้งเตือนบนหน้าจอหากแรงดันลมยางไม่ปกติ อีกหนึ่งคุณสมบัติพิเศษของยาง MICHELIN PRIMACY 3 ZP นั่นคือการได้รับการพัฒนาขึ้นพร้อมเนื้อยางสูตรใหม่ที่แข็งแรงแต่ยืดหยุ่น ช่วยดูดซับแรงกระแทก เพิ่มความนุ่มสบาย ลวดเสริมขอบยางขนาดเล็กลง ทำให้น้ำหนักและความกระด้างของยางลดลง แต่ยังคงแข็งแรงเท่าเดิม นอกจากนี้ ลายดอกยางถูกออกแบบใหม่เพื่อให้มีการทำงานร่วมกัน ระหว่างแถบเนื้อยางระหว่างบล็อกดอกยาง และดอกยางแบบตัดมุม ช่วยป้องกันบล็อกดอกยางล้มตัว ไม่สูญเสียพื้นที่หน้าสัมผัสจึงปลอดภัย มั่นใจทุกครั้งที่แตะเบรกไม่ว่าสภาพถนนเปียกหรือแห้ง และในขณะที่ยาง Run Flat ค่ายอื่นไม่แนะนำให้ซ่อม แต่ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง ทำให้ MICHELIN PRIMACY 3 ZP สามารถซ่อมได้ 1 ครั้ง หากเกิดความเสียหายด้วยบาดแผลเล็กน้อย ซึ่งเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายหากยังไม่ถึงระยะเวลาที่กำหนดในการเปลี่ยนยาง ยกระดับความปลอดภัยขึ้นอีกขั้น สัมผัสความนุ่มสบายกว่าที่เคย และมั่นใจในทุกเส้นทางไปกับ MICHELIN PRIMACY 3 ZP ยาง Run Flat สำหรับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของคุณ

By MercedesBenz

ความหรูหราของการสร้างสรรค์รถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม ด้วยการ เปิดตัว “Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium” สุดยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์ พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ ผสานความหรูหราเหนือระดับ เช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class เข้ากับความแข็งแกร่ง และอเนกประสงค์ในแบบรถยนต์เอสยูวี ที่เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย พร้อมตอบโจทย์ความต้องการรถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2564 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมย้ำความมุ่งมั่นที่เรามีต่อตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย โดยเฉพาะเซกเมนต์รถยนต์เอสยูวี ที่เรามองเห็นความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ด้วยการเปิดตัว “Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium” รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ โดยนอกจากจะเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่ไม่ประนีประนอม ทั้งในเรื่องของความหรูหราเหนือระดับ เช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class และการสร้างสรรค์รถยนต์สายพันธุ์เอสยูวี ที่มีความอเนกประสงค์และแข็งแกร่ง พรั่งพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ มั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า ที่กำลังมองหายนตรกรรมอเนกประสงค์ที่ตอบทั้งโจทย์ด้านความหรูหรา และความแข็งแกร่งในแบบเอสยูวี” Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium คือสุดยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศใหม่ ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องความกว้างขวางของห้องโดยสาร ความสะดวกสบายเหนือจินตนาการ ดีไซน์ที่มีความสง่างาม และความหรูหราเหนือระดับเช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class พร้อมทั้งความแข็งแกร่งและอเนกประสงค์ในแบบรถยนต์เอสยูวี ที่เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ให้การขับขี่แบบ off-road ที่ดีที่สุด โดยมาพร้อมขุมพลังดีเซลขนาด 2,925 ซีซี ให้กำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,200 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7 วินาที การขับขี่ยังมอบความเพลิดเพลินและราบรื่น ด้วยระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ที่ให้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้รวดเร็วและนุ่มนวล พร้อมประหยัดเชื้อเพลิงกว่า 6.5% ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “Full time” แบบ 4MATIC ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถและการทรงตัวบนถนนที่เปียกลื่น รวมถึงการขับขี่ บนทางแบบ OFF-ROAD ให้คุณสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างเฉียบคม มั่นใจ และให้ความนุ่มนวลตลอดการเดินทางในทุกสภาพถนนด้วยระบบช่วงล่างแบบ AIRMATIC และเป็นครั้งแรกที่จะได้พบกับฟังก์ชันเตรียมรถเข้าสู่เครื่องล้างอัตโนมัติ โดยจะทำงานอย่างสอดคล้องร่วมกับระบบ AIRMATIC เพียงสั่งงานผ่านหน้าจอ media display ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นที่เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความเข้มของแสง และความยาวของลำแสงได้อิสระจากกัน โดยมีระบบตรวจจับวัตถุที่คำนวณความสว่างอัตโนมัติ และไฟท้ายแบบ LED พร้อมล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบา ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ 21 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (Panoramic sliding sunroof) ที่เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่ ภายในห้องโดยสาร ซึ่งรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่าน ได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวางและสะดวกสบายมาตรฐานเดียวกับ S-Class ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 มิลลิเมตร จึงมีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างและโปร่งสบายขึ้น โดยเฉพาะที่นั่งแถว 2 ที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมบันทึกตำแหน่งที่นั่งได้ และยังสามารถปรับเลื่อนเบาะถอยหลังได้ถึง 10 เซนติเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับวางขา โดยพนักพิงสามารถปรับเอนได้มากกว่าเดิม ส่วนเบาะที่นั่งแถวที่ 3 เป็นที่นั่งแบบ full-size รองรับผู้โดยสารที่มีส่วนสูงได้ถึง 194 เซนติเมตร พร้อมระบบ EASY-ENTRY ที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เบาะและพนักพิงของที่นั่งแถว 2 สามารถพับขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เข้าสู่ที่นั่งแถว 3 ได้ง่ายดายขึ้น ทั้งนี้ เบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถพับได้อย่างอิสระ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายและเพิ่มพื้นที่ความจุสำหรับเก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตร ตอบสนองทุกความต้องการ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความกว้างขวางตามแบบฉบับยานยนต์อเนกประสงค์ ในห้องโดยสารยังเพิ่มสุนทรียภาพด้วยระบบไฟส่องสว่างแบบ Ambient Light ที่มีให้เลือกถึง 64 สี โดย Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังมาพร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากมาย โดยเฉพาะ Mercedes me connect ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้าและผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยทำงานร่วมกับระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ พร้อมหน้าจอสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 เพื่อความบันเทิงแบบ MBUX Rear Seat Entertainment จำนวน 2 จอ ขนาด 11.6 นิ้ว พร้อมระบบควบคุมหน้าจอแบบสัมผัส เพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยหูฟังแบบ wireless head sets คุณภาพสูง Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 6,499,000 บาท   📍 ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium และเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ   ------------------------------------------------------------------ WORD / PHOTO : MERCEDES BENZ-THAILAND ที่มา : Mercedes Card Journal Issue 01/2021

By MercedesBenz

อดีตนักแข่ง Traudl Klink เป็นผู้จัด Mercedes-Benz Driving Event of the future ที่สนาม Hockenheimring ด้วยจำนวนรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่รถพวกนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกในการขับขี่ลดน้อยลงไปแม้แต่น้อย โดยเฉพาะสำหรับพิธีกรรายการทีวี Matthias Malmedie ในตอนแรกผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ แทบจะไม่โดดเด่นในหมู่เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่ของเธอ พวกเขาสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำที่มีข้อความ “Mercedes-Benz Driving Events” จนเมื่อคุณมองอย่างใกล้ชิดมากขึ้น คุณจะรู้ว่า Traudl Klink อดีตนักแข่งรถมืออาชีพ เป็นผู้กำหนดขั้นตอนงาน Driving Event ที่ Hockenheimring ในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอน ความหลงใหลในกีฬามอเตอร์สปอร์ต และความกระตือรือร้นของเธอ (ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า) ในสนามแข่งนั้นชัดเจนอยู่แล้ว อีเวนต์การขับขี่นี้ เกี่ยวกับขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า มีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจากรุ่นต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เช่นเดียวกับ EQC* ที่เป็นรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทางบริษัทเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสกับทุกแง่มุม ของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคม ซึ่งก็หมายถึงการขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องติดขัดกับการจราจรปกติบนท้องถนน สัมผัสความเร้าใจในความเร็ว และค้นพบความคล่องตัวและพละกำลังของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อีกครั้ง Traudl Klink เป็นผู้นำทีมที่ให้คำแนะนำ และสนับสนุนผู้เข้าร่วมในการพัฒนาทักษะการขับขี่ของพวกเขา   Change with passion วันนี้ Traudl Klink มีผู้จัดรายการโทรทัศน์ Matthias Malmedie เป็นนักเรียนของเธอ ผู้ทดสอบรถรุ่นเก๋าและพรีเซนเตอร์ของรายการ “Grip” ที่โด่งดัง มีความหลงใหลในการแข่งรถเช่นเดียวกับ Traudl Klink มานานแล้ว เหตุใดเขาจึงเข้าร่วมในประสบการณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้าที่ Hockenheimring ทั้งๆ ที่เขามีประสบการณ์และมีใบอนุญาตแข่งรถอยู่แล้ว? “ที่นี่คนเก่งจะเรียนรู้จากคนเก่ง และแน่นอนว่ายังมีอะไรให้ผมเรียนรู้อีกมากมายจาก Traudl ซึ่ง Malmedie สรุปด้วยอารมณ์ขัน เช่นเดียวกับโลกยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไป กิจกรรมการขับขี่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็เช่นกัน รถยนต์ไฟฟ้าที่เงียบมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังแล่นคู่กับรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่คำรามไปบนทางโค้งของ Hockenheimring อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ในระหว่างการชมรถมากมายที่แล่นในสนามแข่ง เมื่อมองจากอัฒจันทร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คุณไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน กับรถยนต์ไฟฟ้าได้เลย มันชัดเจนอย่างยิ่งว่า การขับขี่ที่น่าตื่นเต้น ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องมีการแบ่งแยก ตรงกันข้าม คุณจะสัมผัสกับความสุขในการขับขี่แบบองค์รวมและยั่งยืน เมื่อเราเข้าสู่สนามแข่งกับ Traudl Klink ในรถ E-Class ปลั๊กอินไฮบริด ความเร็วจะดันเรากลับเข้าไปในที่นั่งของเราในพริบตา ขณะที่กล่าวคำแนะนำในเครื่องส่งรับวิทยุของเธอ เธอเร่งเบรก และบังคับเลี้ยวด้วยความสบายๆ รอบๆ ทางโค้งที่แคบ และบนทางตรงของสนาม Hockenheimring เธอให้คำแนะนำในการขับขี่แบบยั่งยืนตลอดเวลาว่า “การขับขี่แบบมองการณ์ไกล หมายถึง การกระทำที่ไม่เพียงแต่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพอีกด้วย หากคุณใช้ระบบเก็บพลังงานจากการเบรก แทนการเบรกล้วนๆ คุณจะได้รับพลังงานกลับคืนมา ในขณะเดียวกันก็ช่วยประหยัดผ้าเบรกจากการสึกหรออย่างรวดเร็วด้วย”   A formidable career ตอนเด็กๆ Traudl Klink ใช้เวลาส่วนใหญ่ในร้านซ่อมรถของพ่อแม่ เมื่ออายุเพียงสามขวบเธอก็จัดเรียงสกรูแล้ว ขณะนั่งอยู่ในดุมล้อ แต่เธอไม่ถูกค้นพบจนกระทั่งอายุ 28 โดยแมวมอง เธอได้เป็นที่หนึ่งจากผู้สมัคร 1,300 คนที่ Hockenheimring ในปี 1983 สองปีต่อมา เธอคว้าตำแหน่งแชมป์ใน Ford Fiesta Ladies Cup ตามด้วยช่วงสั้นๆ ในการแข่งขัน DTM และ 24 ชั่วโมงหลังจากประสบความสำเร็จในอาชีพนักแข่งรถ เธอเข้ามาดูแลธุรกิจรถยนต์ร่วมกับพี่ชายของเธอ และทำงานเป็นผู้ฝึกสอนมาตั้งแต่ปี 1990 แต่ Traudl Klink ไม่เคยทิ้งการแข่งรถเลย เธอกล่าวว่า “ฉันตกจากเกวียนอยู่เรื่อยๆ แต่ในบางช่วง สิ่งดีๆ ทั้งหมดก็ต้องมาถึงจุดจบ” เธอกล่าวในวันนี้ การแข่งขันครั้งสุดท้ายของ Traudl Klink คือในปี 2011   Sustainable driving style ในขณะเดียวกัน Matthias Malmedie ก็ตามมาอย่างใกล้ชิดใน EQC ด้วย Traudl Klink พูดเรื่องตลกเล็กน้อย ระหว่างคำแนะนำทางวิทยุซึ่งเขาตอบโต้ด้วยเสียงหัวเราะ Malmedie ซึ่งเป็นผู้เข้าแข่งขัน 4 สมัย ในการแข่งขัน Nurburgring 24-hour กำลังมองไปยังอนาคตที่มองเห็นได้ ซึ่งรวมถึงมอเตอร์ไฟฟ้าด้วย “เราต้องการให้ผู้คนเห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าเหมาะสำหรับทุกคน” EQC สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา: “พร้อมที่จะไปในทันทีทันใด มันเข้ากับชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยระยะทำการของมัน และยังขับสนุกมากด้วย แล้วด้วยความเงียบ

By MercedesBenz

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) แถลงผลการดำเนินงานในปี 2565 พร้อมแสดงวิสัยทัศน์และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 โดยในระดับโลก เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีอัตราการเติบโตของยอดขายกว่า 15% จากปีที่ผ่านมา กวาดยอดขายรถในกลุ่ม Passenger Cars กว่า 2,043,900 คันทั่วโลก พร้อมโชว์ตัวเลขการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่สูงถึง 124% ด้วยยอดขายกว่า 117,800 คัน โดยมีรุ่นที่ขายดีเป็นอันดับต้น ๆ อย่าง EQA และ EQB ในด้านของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เติบโตถึง 34% ด้วยยอดจดทะเบียนสะสม 13,182 คัน ในปีที่ผ่านมา ยอดขายรถในเซกเมนต์ Dream Cars โตขึ้น 28% จากยอดขาย CLS และ C-Coupe ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนรถเซกเมนต์ Contemporary Luxury อย่าง The new C-Class E-Class และ S-Class โตขึ้น 12% ตามด้วยรถ Top-end Luxury อย่าง Mercedes-Maybach ตัวเลขยอดขายโตขึ้นกว่า 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของ ประธานบริหารคนใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย “มร. มาร์ทิน ชเวงค์” ที่ได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” กับความมุ่งมั่นในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยซึ่งสะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการให้ความสำคัญเกี่ยวกับแผนงานด้าน ความยั่งยืน (Sustainability) การนำเสนอรถยนต์ที่ใช้ พลังงานไฟฟ้า (Electrification) การนำเสนอ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) และการมอบ ประสบการณ์แบบลักชัวรี่ (Luxury Experience) ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยไฮไลท์สำคัญของปีนี้ คือการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ลงตลาดประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line รถเอสยูวีไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ผสานความหรูหราและความสะดวกสบายในทุกมิติ ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พร้อมเดินทางในทุกเส้นทางด้วยการขับขี่ที่ไร้มลพิษ (Zero-emission) ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่แรงดันสูง วิ่งได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ผลิตและนำเข้าแบบ CBU พร้อมเปิดราคาจำหน่ายที่ 3,020,000 บาท  มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประสบความสำเร็จทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ที่สะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ ทั้งในเรื่องของ ความยั่งยืน (Sustainability) สู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2582 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 รวมถึงนโยบาย 30@30 ของบอร์ดอีวี ที่จะขยายสัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศ ให้เป็น 30% ภายในปี 2572 ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์เองก็ตั้งเป้าหมายในการทำให้รถทุกรุ่นที่อยู่ในพอร์ตของเรา เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายในปี 2572 เช่นกัน" "และสิ่งสำคัญในการทำให้เราบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน คือการนำเสนอรถยนต์ที่ใช้ พลังงานไฟฟ้า (Electrification) ให้กับผู้บริโภคในระดับโลก เราได้นำเสนอ VISION EQXX รถยนต์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ผ่านการทดสอบการขับขี่ในสภาพแวดล้อมจริง ด้วยระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มเพียงหนึ่งครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าเราได้นำยนตรกรรมแห่งอนาคตมานำเสนอให้ทุกคนแล้วในวันนี้ โดยในประเทศไทย เรามีการเปิดตัว EQS 500 4MATIC AMG Premium ที่ถือเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้ามากที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางกว่า 702 กิโลเมตร ต่อจากชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของยนตรกรรมระดับโลกนี้ได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวยนตกรรมในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด อย่าง C 350 e AMG Dynamic ที่เป็นรถ PHEV ในระดับลักชัวรี่ ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางเกินกว่า 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง" "และในปีนี้เราได้วางแผนในการขยาย EV Portfolio ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line หนึ่งในรถภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่ขายดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก รวมถึงการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านการร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าชั้นนำ ในประเทศไทย"     "เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งมั่นในการนำเสนอ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เราพร้อมมอบประสบการณ์ทีเหนือระดับในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอนวัตกรรมอย่าง จอแสดงผลแบบ Hyperscreen ระบบ MBUX เจเนเรชั่นใหม่ ระบบไฟหน้า Digital Light แบบ Ultra high range beam ที่ส่องสว่างได้ไกลมากกว่า 600 เมตร และแพ็กเกจระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistance package) รวมถึงระบบลดวงเลี้ยวรถยนต์ (Rear Axle Steering) และนอกเหนือจากประสบการณ์ที่ทุกคนจะได้สัมผัสผ่านยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์แล้ว การมอบ ประสบการณ์แบบลักชัวรี่ (Luxury Experience) ให้กับลูกค้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ โดยเรามีการสร้างการสื่อสารทั้งภายนอกและภายในองค์กร ในการประสานการทำงานเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า คนในองค์กรและพาร์ทเนอร์ของเราจะสามารถมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและสอดแทรกความเป็นแบรนด์ลักชัวรี่ในทุกมิติ ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้กับลูกค้าคนพิเศษของเราทุกคนอย่างไร้ที่ติ” มร. บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้นำมาปรับใช้ในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสารในรูปแบบใหม่ เริ่มจากการเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ของการจัดแสดงรถยนต์ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 โดยในปีนี้เราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการนำเสนอยุคใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผ่านการจัดแสดงรถยนต์บนพื้นที่ใหม่ ที่บูธหมายเลข A19 บริเวณฮอล์ 1 ของอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ซึ่งมีการสร้างการรับรู้ให้สาธารณะผ่านแคมเปญการสื่อสารทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยความพิเศษของบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปีนี้ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาในบูธของเราไปจนถึงขั้นตอนที่ลูกค้าตัดสินใจเป็นเจ้าของยนตกรรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ นอกจากนี้ ภายในบูธจะถูกแบ่งโซนในการจัดแสดงรถยนต์ ซึ่งมีให้ชมครบทุกรุ่นตั้งแต่รถยนต์ในแบรนด์ Mercedes-Benz ในกลุ่มของรถ ICE และ PHEV รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ รถยนต์สมรรถนะสูงในกลุ่ม Mercedes-AMG รถยนต์ระดับ Top-End Luxury อย่าง Mercedes-Maybach พร้อมด้วยยนตรกรรมระดับตำนานอย่าง SL และ G-Class ซึ่งคนไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 หรือที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย” นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหาร ฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับในส่วนงานของฝ่ายบริการลูกค้า เราได้เตรียมพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิตัลใหม่ ๆ ใน Mercedes Me Store ที่ลูกค้าสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ตามความต้องการเช่น Rear Axle Steering ที่เป็นการลดวงเลี้ยวรถยนต์ เพื่อการควบคุมรถได้ง่ายยิ่งขึ้น Active Distance Assistance Distronic ระบบควบคุมระยะห่างของรถยนต์ขณะขับขี่ หรือ Individualization ที่เป็นการเพิ่มความบันเทิงในรูปแบบเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกบรรยากาศภายในรถทั้งเสียงและภาพที่แสดงบนหน้าจอหรือมินิเกมส์ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ ในปีนี้จะมีการนำเสนอระบบการจ่ายเงินค่าบริการผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกสถานะของรถ เมื่อนำรถเข้ารับบริการเพิ่มเติมจากบริการระบบออนไลน์เดิม ที่มีในส่วนของการนัดหมายเข้ารับบริการและแจ้งสถานะของรถขณะกำลังเข้ารับบริการ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังมีบริการผู้ช่วยส่วนตัวด้วยการส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อรถถึงระยะเข้ารับบริการหรือตรวจเช็กระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่หรือระบบเบรก รวมถึงข้อเสนอพิเศษและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะ และในส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่แท้ อะไหล่ StarParts หรือ REMAN สำหรับรถยนต์ที่หมดระยะรับประกัน ผลิตภัณฑ์ยางที่ได้รับการรับรองจาก Mercedes-Benz MO/MOE รวมถึงการบริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และโปรแกรม MBSP แบบต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกความต้องการตามการใช้งานของลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดและคงประสิทธิภาพสูงสุดตลอดการใช้งานรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย” “แน่นอนว่าอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของเรา คือการสร้างยอดขายที่เติบโตในประเทศไทย ในปีนี้เราคาดหวังตัวเลขการเติบโตแบบ Double-Digit ผ่านการนำเสนอรถยนต์ทั้งหมด 8 รุ่น โดยหนึ่งในนั้นคือรถเอสยูวีไฟฟ้า EQB 250 AMG Line ที่เปิดตัวในวันนี้ ทั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมที่เหนือระดับที่มาพร้อมการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย” มร. มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าวสรุป  

By MercedesBenz

ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชม โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ในรูปแบบ Virtual Reality ได้ในงาน The Forestias Story and Beyond ที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน วันที่ 10 - 11 มิถุนายนนี้ โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center 1265 MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า บริษัทฯ กำลังก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยแห่งใหม่ มูลค่า 5,900 ล้านบาท ความสูง 44 ชั้น ในชื่อ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 398 ไร่ ของโครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม.7    ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ คือหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรู ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ในประเทศไทยอีกด้วย โดยที่พักอาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ติดกับป่าขนาด 30 ไร่ ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ และเชื่อมโดยตรงกับทางเดินยกระดับที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ความยาว 1.6 กิโลเมตร  นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MQDC เปิดเผยว่า “ที่พักอาศัยโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่ว ๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ มอบให้ โดยอาคารโครงการความสูง 44 ชั้น มีเพียง 122 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งเป็นยูนิตแบบมีพื้นที่กว้างขวาง และทุกยูนิตเปิดรับวิวป่าแบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่าง ๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า” ห้องพักอาศัยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 140 ตารางเมตร ไปจนถึง 350 ตารางเมตร โดยมีห้องแบบเพนท์เฮาส์ขนาดพื้นที่ใช้สอย 917 ตารางเมตร บนชั้น 43 ส่วนจำนวนห้องนอนก็มีเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 2 ห้องนอน ไปจนถึง 5 ห้องนอน โดยที่พักอาศัยแบบฟรีโฮลด์แห่งนี้ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 37 ล้านบาท สำหรับยูนิตขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท สำหรับยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ตัวอาคารของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้รับการออกแบบโดย Foster + Partners โดยแนวคิดของโครงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัย เราจึงพิถีพิถันใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียด บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว โดยได้สร้างโถงทางเดินและบันไดสำหรับงานบำรุงรักษาไว้ในจุดต่าง ๆ  “การออกแบบนี้จะช่วยให้ช่างสามารถเข้าบริการหรือดูแลรักษางานระบบอาคาร โดยเฉพาะงานท่อหลักได้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาอาคารให้ได้มาตรฐานระดับพรีเมียมอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รบกวนพื้นที่ส่วนรวมที่ลูกบ้านใช้ประจำ” นายยุทธนากล่าว   นอกจากนั้น การออกแบบพื้นที่ภายในยังมีความเป็นสัดส่วน โดยแยกพื้นที่ที่ผู้ช่วยดูแลบ้านต้องใช้ เช่น พื้นที่ห้องครัวไทย และห้องพักของผู้ช่วยดูแลบ้าน ไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย พร้อมกันนี้ ทุกยูนิตยังมีล็อบบี้ลิฟต์ส่วนตัวอีกด้วย อีกทั้งยังได้ออกแบบโถงล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแยกเป็นสัดเป็นส่วนกับล็อบบี้หลักของอาคาร หนึ่งในลักษณะพิเศษที่เป็นจุดเด่นของโครงการ คือมีที่นั่งพักผ่อนภายนอกอาคารมากมาย รวมไปถึงสวนส่วนตัว สนามหญ้าอเนกประสงค์ ระเบียงชายป่า และบ้านต้นไม้ นอกจากนั้น ยังได้นำเอาวัสดุพิเศษมาใช้ ในการก่อสร้างฟาซาด เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารรู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น    ที่พักอาศัยโครงการ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ใกล้กับ โฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ในสไตล์ที่จะมาเติมเต็มพื้นที่ และสะท้อนธีมใกล้ชิดธรรมชาติของซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้เป็นอย่างดี พร้อมกับมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอาคารที่พักอาศัยและอาคารโรงแรม ซึ่งการตั้งอยู่ใกล้เคียงแบบเชื่อมถึงกันได้อย่างสะดวกสบายกับโรงแรม และพื้นที่จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญอย่างหนึ่ง สำหรับลูกค้าเจ้าของที่พักอาศัย โครงการซิกเนเจอร์ ซีรีส์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในสิ้นปี 2568 และเตรียมเปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป   นายยุทธนา กล่าวว่า ขอเชิญชวนผู้สนใจ ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ ที่ Call Center โทร. 1265 หรือ  https://mqdc.link/3q2GmZX โดยผู้จองที่พักอาศัยเดอะ ฟอเรสเทียร์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ 30 ยูนิตแรก ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 จะได้รับสิทธิพิเศษราคา VVIP ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 2.5 ล้านบาท พร้อมกับจะได้รับสิทธิพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม ในการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่โฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียร์ มูลค่าสูงสุดถึง 500,000 บาท นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “ที่พักอาศัยอื่น ๆ อีก 4 แบรนด์ของเรา ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ถึงตอนนี้ทำยอดขายรวมกันมากกว่า 22,000 ล้านบาทไปแล้ว”   “ผมเชื่อว่า เหตุผลที่โครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากขึ้น อยากใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าทั่ว ๆ ไป ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวเยอะ ๆ และอยากอยู่ในโครงการที่ได้รับการออกแบบโดยบริษัทที่ได้รับการยอมรับนับถือในระดับโลก ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และผมคิดว่า ที่คนเชื่อมั่นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ของเรามีศักยภาพสูงในด้านของการลงทุน เป็นเพราะการที่โครงการตั้งอยู่ในทำเลเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อน และส่งเสริมให้โครงการมีความน่าดึงดูดใจ” นายกิตติพันธุ์กล่าว

By MercedesBenz

โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ มาตรฐานระดับโลกจากอเมริกา ชวนเช็กอินเสาร์ที่ 2 มี.ค. 67 ให้ผู้ปกครองร่วมสัมผัสกับบรรยากาศการเรียนการสอนจริงในกิจกรรม OPEN HOUSE ! เบซิส กรุงเทพฯ (BASIS International School Bangkok) โรงเรียนนานาชาติระดับโลก ลำดับที่ 35 ในเครือข่ายโรงเรียน BASIS Network School จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีหลักสูตรเฉพาะที่ถูกออกแบบและพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนที่ดีที่สุดในอเมริกา  เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้น Nursery ไปจนจบมัธยมปลายที่ Grade 12 นับเป็นหลักสูตรที่มีความเข้มข้นทางวิชาการ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถของนักเรียนอย่างไร้ขีดจำกัด ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนประสบความสำเร็จตามศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตและแข่งขันได้ในระดับสากล โรงเรียนเครือข่ายเบซิสสามารถผลักดันให้นักเรียนก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยแถวหน้าของโลกมาแล้วมากมาย และสร้างชื่อเสียงในฐานะบุคลากรคุณภาพในสังคมโลก นับเป็นความมุ่งหมายสูงสุดในการนำพา เบซิส กรุงเทพฯ เดินหน้าสู่ความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับการบูรณาการหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย ปลูกฝังความเป็นไทยในทุกระดับชั้น ควบคู่ไปกับหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีมาตรฐานในระดับสากล จึงไม่น่าแปลกใจที่ เบซิส กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดของประเทศไทยไปแล้ว นอกจากเบซิส กรุงเทพฯ จะให้ความสำคัญด้านวิชาการมาเป็นอันดับหนึ่ง สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีมีคุณภาพยังเป็นส่วนที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการปลูกฝังความรักในการเรียนรู้ และส่งเสริมให้นักเรียนได้ค้นพบความชอบของตนเองอีกด้วย การคัดสรรบุคลากรครูผู้สอนแต่ละท่านเปี่ยมด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานความเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนจะสามารถเป็นเลิศได้ โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ พร้อมแล้ว ที่จะเปิดบ้านครั้งใหม่ ในกิจกรรม Open House ให้เข้าเยี่ยมชมสถานที่และไขข้อสงสัยว่า

By MercedesBenz

By MercedesBenz

เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเปิดตัว “The new S-Class” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่สุดแห่งยนตรกรรมในตระกูลเอสคลาสของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่พร้อมมอบประสบการณ์ความหรูหราและความปลอดภัย ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ ทั้งในเรื่องของการมอบความสะดวกสบายในการขับขี่ การปกป้องผู้โดยสารในทุกเบาะที่นั่ง ตลอดจนการมอบประสบการณ์การใช้งานแบบอินเทอร์แอคทีฟ ที่ตอบทุกความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ผ่านระบบดิจิทัลในทุกรายละเอียด   The new S-Class มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,925 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ มอบพละกำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 600 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.4 วินาที โดยขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เครื่องยนต์ชุดนี้นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย   การออกแบบภายนอกของ The new S-Class ถ่ายทอดความหรูหราออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity ในภาษาดีไซน์ที่ได้รับการยกระดับขึ้นในทุกๆ ส่วน ภายใต้การตีความใหม่ให้ดูโมเดิร์นยิ่งกว่าที่เคย ตั้งแต่ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ดีไซน์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ล้อแบบ AMG ขนาดใหญ่สูงสุด 20 นิ้ว กับระยะฐานล้อที่ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิมมากถึง 51 มิลลิเมตร เส้นโค้งหลังคา Catwalk line ที่กดองศาของหลังคาให้ต่ำลง ทำให้รถยนต์คันนี้ดูสปอร์ตขึ้น ทว่าพื้นที่ห้องโดยสารไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ การออกแบบให้มือจับประตูเป็นแบบไร้รอยต่อ (Seamless door handles) ยังช่วยเพิ่มความกลมกลืนของเส้นสายทางด้านข้าง และช่วยให้การล็อกและปลดล็อกประตู ทำได้อย่างสะดวกสบายเพียงใช้มือสัมผัสที่มือจับประตู   ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่นที่มอบทั้งความหรูหรา คุณภาพระดับสูง และวิสัยทัศน์ในการขับขี่ที่ดีที่สุด พรั่งพร้อมด้วยระบบ ENERGIZING comfort control ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 เฉดสี ระบบปรับอากาศพร้อม AIR BALANCE package ที่ทำให้ห้องโดยสารสะอาดยิ่งขึ้น และระบบเครื่องเสียงจากลำโพง Burmester 3D surround sound system ที่ให้คุณภาพเสียงที่มีมิติลุ่มลึก ฯลฯ ในห้องโดยสารยังพร้อมมอบประสบการณ์ดิจิทัล ที่ตอบรับความต้องการของผู้โดยสารในทุกที่นั่ง ตั้งแต่เบาะที่นั่งตอนหน้าเรื่อยไปจนถึงตอนหลัง เริ่มตั้งแต่การออกแบบคอนโซลหน้าด้วยรูปลักษณ์ใหม่ที่ดูโมเดิร์นขึ้น และตอบรับกับสรีระของผู้ใช้มากขึ้น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง Nappa leather และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ความละเอียดสูงแบบ Digital Instrument clusters ขนาด 12.3 นิ้ว    นอกจากนี้ The new S-Class ยังนำทุกปุ่มควบคุมตรงคอนโซลส่วนกลางให้เข้ามาอยู่บนหน้าจอ MBUX7 แบบทัชสกรีน ขนาด 12.8 นิ้ว ทั้งหมด โดยใช้หน้าจอแบบ OLED ที่มอบพื้นที่การใช้งาน (active area) บนหน้าจอที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมกว่า 64% ภายใต้การออกแบบในลักษณะฟรีฟอร์มดูบางเบา ทว่าตอบสนองฉับไว ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันการทำงานของรถยนต์ และฟังก์ชันต่างๆ ภายในห้องโดยสารได้อย่างใจ เพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยผสานการทำงานร่วมกับระบบจดจำโปรไฟล์ผู้ขับขี่ ด้วยการสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint scanner) ที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ขับขี่แต่ละคน เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลตลอดการขับขี่ได้อย่างตรงใจ เบาะที่นั่งตอนหลังแบบมัลติคอนทัวร์ ยังมาพร้อม Rear Seat Comfort Package ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายในการโดยสารสูงสุด ทั้งการเป็นเบาะไฟฟ้าที่สามารถปรับตำแหน่งที่นั่งได้ และฟังก์ชันการนวด ENERGIZING ที่สามารถเลือกโปรแกรมการนวดได้สูงสุด 6 โปรแกรม   ระบบมัลติมีเดีย MBUX7 (Mercedes-Benz User Experience) เจเนอเรชันใหม่ จะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ขึ้นอีกขั้น ทั้งการมี MBUX Interior Assistant ที่จะทำงานอย่างฉับไว ในการตอบรับการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้โดยสาร โดยระบบ Gesture Control 2.0 จะตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือ ศีรษะ และร่างกาย เพื่อแปลความต้องการของผู้ใช้ นำไปสู่การควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ภายในรถยนต์ เช่น หากยื่นมือขึ้นหรือลงทางกระจกมองหลัง ไฟอ่านหนังสือจะติดขึ้นหรือดับลงเองโดยอัตโนมัติ ฯลฯ ส่วนระบบ MBUX High-End Rear Seat Entertainment จะทำงานร่วมกับ Rear Tablet หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ยกระดับการควบคุมความบันเทิงของผู้โดยสารตอนหลัง ให้สะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมความบันเทิงบนหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว 2 หน้าจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง โดยภายในห้องโดยสารยังมาพร้อมระบบเสียง Burmester 3D surround sound system พร้อมชุดลำโพง 15 ตัวด้วย   ใน The new S-Class ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลังเป็นครั้งแรก ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Parking Package with 360° camera) ที่มอบมุมมองรอบรถยนต์แบบ 360 องศา ที่เสมือนจริงยิ่งกว่าที่เคย ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE PLUS ที่ดีขึ้น ระบบ ATTENTION ASSIST รุ่นใหม่ที่ช่วยตรวจจับความผิดปกติของผู้ขับขี่ และส่งสัญญาณเตือนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงระบบความปลอดภัยที่รวมอยู่ใน Driving Assistance Package เจเนอเรชันล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น Evasive Steering Assist ที่ช่วยดึงให้รถยนต์กลับมาอยู่ในเลน หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน Active Emergency Stop Assist หรือระบบการหยุดรถฉุกเฉินที่จะทำงานตลอดเวลา รวมถึงฟังก์ชัน Exit Warning ที่จะทำงานหากมือของผู้โดยสารมีการขยับไปใกล้ที่จับประตูด้านใน ฯลฯ   มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วันนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะให้ทุกคนได้พบกับ “The new S-Class” รถยนต์ที่ดีที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ทั้งยังเป็นรถยนต์หรูที่ขายดีที่สุดทั้งในตลาดโลกและในตลาดไทย สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสคลาส รุ่นใหม่นี้ เรามีความภาคภูมิใจที่ได้นำเสนอรถยนต์ที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นที่สุด ทั้งในเรื่องความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ภายใต้การผนวกเอานวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำหน้า ที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ มาถ่ายทอดผ่านทุกรายละเอียดของการออกแบบ โดยเฉพาะประสบการณ์การเชื่อมต่อบนรถยนต์ผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สาย ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ จับมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 4G LTE ในประเทศไทยโดยเฉพาะ จึงช่วยให้ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น ที่จะสามารถเปิดรับประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นที่สุด ในแบบของรถยนต์รุ่นเอสคลาสได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ “The new S-Class” สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และทำการจองรถยนต์กับผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้”   The new S-Class มีวางจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่  Mercedes-Benz S 350 d Exclusive ราคา 6,690,000 บาท Mercedes-Benz S 350 d AMG Premium ราคา 7,190,000 บาท   พร้อมให้ลูกค้าผู้สนใจจับจองได้ตั้งแต่วันนี้ โดยลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The new S-Class และรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

By MercedesBenz

อดีตนักแข่ง Traudl Klink เป็นผู้จัด Mercedes-Benz Driving Event of the future ที่สนาม Hockenheimring ด้วยจำนวนรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่รถพวกนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกในการขับขี่ลดน้อยลงไปแม้แต่น้อย โดยเฉพาะสำหรับพิธีกรรายการทีวี Matthias Malmedie ในตอนแรกผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ แทบจะไม่โดดเด่นในหมู่เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่ของเธอ พวกเขาสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำที่มีข้อความ “Mercedes-Benz Driving Events” จนเมื่อคุณมองอย่างใกล้ชิดมากขึ้น คุณจะรู้ว่า Traudl Klink อดีตนักแข่งรถมืออาชีพ เป็นผู้กำหนดขั้นตอนงาน Driving Event ที่ Hockenheimring ในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอน ความหลงใหลในกีฬามอเตอร์สปอร์ต และความกระตือรือร้นของเธอ (ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า) ในสนามแข่งนั้นชัดเจนอยู่แล้ว อีเวนต์การขับขี่นี้ เกี่ยวกับขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า มีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจากรุ่นต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เช่นเดียวกับ EQC* ที่เป็นรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทางบริษัทเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสกับทุกแง่มุม ของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคม ซึ่งก็หมายถึงการขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องติดขัดกับการจราจรปกติบนท้องถนน สัมผัสความเร้าใจในความเร็ว และค้นพบความคล่องตัวและพละกำลังของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อีกครั้ง Traudl Klink เป็นผู้นำทีมที่ให้คำแนะนำ และสนับสนุนผู้เข้าร่วมในการพัฒนาทักษะการขับขี่ของพวกเขา   Change with passion วันนี้ Traudl Klink มีผู้จัดรายการโทรทัศน์ Matthias Malmedie เป็นนักเรียนของเธอ ผู้ทดสอบรถรุ่นเก๋าและพรีเซนเตอร์ของรายการ “Grip” ที่โด่งดัง มีความหลงใหลในการแข่งรถเช่นเดียวกับ Traudl Klink มานานแล้ว เหตุใดเขาจึงเข้าร่วมในประสบการณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้าที่ Hockenheimring ทั้งๆ ที่เขามีประสบการณ์และมีใบอนุญาตแข่งรถอยู่แล้ว? “ที่นี่คนเก่งจะเรียนรู้จากคนเก่ง และแน่นอนว่ายังมีอะไรให้ผมเรียนรู้อีกมากมายจาก Traudl ซึ่ง Malmedie สรุปด้วยอารมณ์ขัน เช่นเดียวกับโลกยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไป กิจกรรมการขับขี่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็เช่นกัน รถยนต์ไฟฟ้าที่เงียบมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังแล่นคู่กับรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่คำรามไปบนทางโค้งของ Hockenheimring อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ในระหว่างการชมรถมากมายที่แล่นในสนามแข่ง เมื่อมองจากอัฒจันทร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คุณไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน กับรถยนต์ไฟฟ้าได้เลย มันชัดเจนอย่างยิ่งว่า การขับขี่ที่น่าตื่นเต้น ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องมีการแบ่งแยก ตรงกันข้าม คุณจะสัมผัสกับความสุขในการขับขี่แบบองค์รวมและยั่งยืน เมื่อเราเข้าสู่สนามแข่งกับ Traudl Klink ในรถ E-Class ปลั๊กอินไฮบริด ความเร็วจะดันเรากลับเข้าไปในที่นั่งของเราในพริบตา ขณะที่กล่าวคำแนะนำในเครื่องส่งรับวิทยุของเธอ เธอเร่งเบรก และบังคับเลี้ยวด้วยความสบายๆ รอบๆ ทางโค้งที่แคบ และบนทางตรงของสนาม Hockenheimring เธอให้คำแนะนำในการขับขี่แบบยั่งยืนตลอดเวลาว่า “การขับขี่แบบมองการณ์ไกล หมายถึง การกระทำที่ไม่เพียงแต่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพอีกด้วย หากคุณใช้ระบบเก็บพลังงานจากการเบรก แทนการเบรกล้วนๆ คุณจะได้รับพลังงานกลับคืนมา ในขณะเดียวกันก็ช่วยประหยัดผ้าเบรกจากการสึกหรออย่างรวดเร็วด้วย”   A formidable career ตอนเด็กๆ Traudl Klink ใช้เวลาส่วนใหญ่ในร้านซ่อมรถของพ่อแม่ เมื่ออายุเพียงสามขวบเธอก็จัดเรียงสกรูแล้ว ขณะนั่งอยู่ในดุมล้อ แต่เธอไม่ถูกค้นพบจนกระทั่งอายุ 28 โดยแมวมอง เธอได้เป็นที่หนึ่งจากผู้สมัคร 1,300 คนที่ Hockenheimring ในปี 1983 สองปีต่อมา เธอคว้าตำแหน่งแชมป์ใน Ford Fiesta Ladies Cup ตามด้วยช่วงสั้นๆ ในการแข่งขัน DTM และ 24 ชั่วโมงหลังจากประสบความสำเร็จในอาชีพนักแข่งรถ เธอเข้ามาดูแลธุรกิจรถยนต์ร่วมกับพี่ชายของเธอ และทำงานเป็นผู้ฝึกสอนมาตั้งแต่ปี 1990 แต่ Traudl Klink ไม่เคยทิ้งการแข่งรถเลย เธอกล่าวว่า “ฉันตกจากเกวียนอยู่เรื่อยๆ แต่ในบางช่วง สิ่งดีๆ ทั้งหมดก็ต้องมาถึงจุดจบ” เธอกล่าวในวันนี้ การแข่งขันครั้งสุดท้ายของ Traudl Klink คือในปี 2011   Sustainable driving style ในขณะเดียวกัน Matthias Malmedie ก็ตามมาอย่างใกล้ชิดใน EQC ด้วย Traudl Klink พูดเรื่องตลกเล็กน้อย ระหว่างคำแนะนำทางวิทยุซึ่งเขาตอบโต้ด้วยเสียงหัวเราะ Malmedie ซึ่งเป็นผู้เข้าแข่งขัน 4 สมัย ในการแข่งขัน Nurburgring 24-hour กำลังมองไปยังอนาคตที่มองเห็นได้ ซึ่งรวมถึงมอเตอร์ไฟฟ้าด้วย “เราต้องการให้ผู้คนเห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าเหมาะสำหรับทุกคน” EQC สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา: “พร้อมที่จะไปในทันทีทันใด มันเข้ากับชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยระยะทำการของมัน และยังขับสนุกมากด้วย แล้วด้วยความเงียบ

By MercedesBenz

เราเชิญศิลปินพื้นเมือง Jacobo และ Maria Angeles มาร่วมกันรังสรรค์ รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น G-Class ให้กลายเป็นงานศิลปะในแบบ Zapotecan (อารยธรรมของชาวซาโปเทค ชนพื้นเมืองเดิมของเม็กซิโก) ที่ละลานด้วยสีสัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการผสมผสานมรดกจากอดีต เข้ากับนวัตกรรมล้ำยุค คือความงามที่ไม่ธรรมดา ถ้าพร้อมแล้ว ขึ้นรถไปพร้อมกันเลย! มันเป็นเรื่องของตำนานปรัมปราอย่างแน่นอน และยังเป็นประจักษ์พยานฝีมือช่างอันเชี่ยวชาญด้วย ไม่ เราไม่ได้กำลังพูดถึงรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น G-Class (ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่จะพูดถึงในอีกไม่ช้า) แต่เรากำลังพูดถึงผลงานศิลปะที่เต็มไปด้วยสีสันของวัฒนธรรมซาโปเทคต่างหาก เมื่อเด็กๆ ถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนเทือกเขาทางตอนใต้ ที่ห่างไกลและโดดเดี่ยวของเม็กซิโก โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาจะมีสัตว์คุ้มครองตัวตามวันและปีที่พวกเขาเกิด สัตว์ในตำนานเหล่านี้ จะหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณมนุษย์ และกลายร่างเป็นสัตว์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล รวมทั้งยังจะมีความผูกพันอย่างเหนียวแน่นกับโชคชะตาของคนๆ นั้นตลอดไป ปัจจุบัน ได้มีการนำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มาสร้างสรรค์ในรูปแบบของตุ๊กตาไม้แกะสลักจากเรซินต้นไม้ ตกแต่งด้วยสีอะคริลิกที่วาดระบายตามแบบของศิลปะแนวพรี-โคลัมเบียน นี่คือหนึ่งในงานหัตถกรรมซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของรัฐวาฮากา (Oaxaca) เป็นแหล่งสร้างรายได้ให้ประชากรท้องถิ่นนับร้อยครัวเรือน โดยหนึ่งผู้ผลิตงานศิลปะจากไม้ของรัฐวาฮากา ที่ก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงโด่งดังในวงกว้าง ก็คือ Jacobo และ Maria Angeles ทั้งสองคือศิลปินที่ได้รับการคัดสรรให้เป็นผู้ถ่ายทอดศิลปะดั้งเดิมของท้องถิ่น เผยแพร่สู่สายตาชาวโลก ทั้งคู่ยังเคยได้ร่วมงานกับศิลปินชาวเม็กซิกันคนอื่นๆ ในโครงการแอนิเมชัน “Coco” ของพิกซาร์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเชิดชูวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ ด้วยภาพวาดแอนิเมชันที่สดใส มีชีวิตชีวา มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตก้าวข้ามวัยอันสุดประทับใจ “Coco” คือเรื่องราวของหนุ่มน้อยผู้มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักดนตรี แม้ว่าพ่อและแม่จะมีแผนการอื่นสำหรับอนาคตของเขาแล้วก็ตาม แอนิเมชันเรื่องนี้ได้เป็นภาพยนตร์ทำเงินติดอันดับในบ็อกซ์ออฟฟิศ และสามารถคว้ารางวัลออสการ์ ปี 2018 มาครองได้ถึงสองรางวัล   ศูนย์กลางของศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ขับรถจากวาฮากาซิตี้ เมืองหลวงของรัฐ ก็จะมาถึงซาน มาร์ติน ติลกาเฮเต (San Martín Tilcajete) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่งานของผู้คนส่วนใหญ่ คือการสร้างสรรค์ศิลปะตุ๊กตาไม้แกะสลัก นับเป็นเวลากว่าศตวรรษมาแล้วที่เมืองซาน มาร์ติน ติลกาเฮเต เป็นศูนย์กลางของการผลิตงานหัตถกรรมพื้นบ้าน การหลอมรวมนวัตกรรมความบันเทิงเข้ากับประเพณีท้องถิ่น เมื่อไม่นานมานี้ คือหนึ่งในหลายๆ เหตุผล ที่ทำให้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เม็กซิโก ตัดสินใจที่จะทำการสำรวจภูมิภาคเป็นพิเศษ เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงสมรรถนะสุดพิเศษของเมอร์เซเดส-เบนซ์ G-Class หนึ่งในยานยนต์รุ่นสัญลักษณ์ที่มีความโดดเด่นเป็นที่สุด และเพิ่งจะมีอายุครบ 40 ปี ไปไม่นานมานี้ ในการแปลงโฉม G-Class ทีมงานได้ร่วมงานกับ Jacobo และ Maria Angeles ด้วยแนวคิดเรื่องการสร้างสรรค์ เพื่อเป็นเกียรติแก่งานหัตถกรรมโบราณของท้องถิ่น และเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่คุณลักษณ์ที่สุดโดดเด่นหาใครเทียบได้ ของยานยนต์รุ่น G-Class ผ่านความน่าทึ่งของการตกแต่งลวดลายซาโปเทค ที่เต็มไปด้วยสีสัน   เวลาและความสามารถ ในการแปลงโฉมเมอร์เซเดส-เบนซ์ G-Class ครั้งนี้ มีตั้งแต่ขั้นตอนของการแต่งแต้มสี การพ่นรองพื้นด้วยสีอะคริลิก และการเคลือบเงารถยนต์ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดกินเวลานานกว่า 6 เดือน ทั้งยังต้องอาศัยความชำนาญของช่างฝีมืออีกถึง 8 คน ทั้งหมดมุ่งมั่นที่จะหลอมรวมวัฒนธรรมท้องถิ่น เข้ากับประวัติศาสตร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ G-Class อันเป็นตำนาน “สิ่งที่เราทำคือการเชื่อมโยงดาวสามแฉก สัญลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เข้ากับพลังลึกลับทั้งสามของซาโปเทค อันได้แก่ นกอินทรีย์ (ลม) งู (ยมโลก) และเสือจากัวร์ (ผืนปฐพี) ที่คอยปกปักรักษามนุษย์ นั่นคือแนวทางที่เราได้ผสมผสาน และยังเป็นที่มาของแรงบันดาลใจในการออกแบบครั้งนี้ด้วย" Jacobo ยิ้มพร้อมเล่าถึงการทำงาน อย่างไรก็ตาม เขาทราบดีว่าดาวสามแฉกของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้น มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างชัดเจน ว่าเป็นตัวแทนของเครื่องยนต์รุ่นต่างๆ ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผลิตออกมาในช่วงเริ่มแรก ได้แก่ เครื่องยนต์สำหรับการเดินทางขนส่งทางอากาศ ทางทะเล และทางบก สัญลักษณ์ของซาโปเทคทั้งสาม ยังเป็นตัวแทนสื่อความหมายอันยิ่งใหญ่ โดยเสือจากัวร์ซึ่งหมายถึงการควบคุมผืนพสุธา คือสิ่งซึ่งมอบพลังและจิตวิญญาณให้เครื่องยนต์ของรุ่น G-Class ที่จะเดินไปข้างหน้าสู่อนาคต บนฝากระโปรงและไฟหน้า มีดวงตาของสัตว์อีกสองชนิด คอยทำหน้าที่คุ้มครองยานพาหนะอยู่ตลอดทุกช่วงเวลา งานศิลปะนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างงานภาพกราฟิกยุคพรี-ฮิสแปนิก (pre-Hispanic) และสีสันซึ่งเป็นที่คุ้นเคย เช่น สีเหลือง ดำ และแดง ภาพวาดบนหลังคาเป็นรูปธง ตัวแทนของชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ที่ผสมผสานเข้ากับองค์ประกอบของธงที่ใช้ในการแข่งรถ ซึ่งเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ตำนานด้านความเร็วของแบรนด์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ศิลปินทั้งชายและหญิงได้ร่วมกันสร้างสรรค์งานอย่างเสมอภาค ผ่านการใช้สีที่คล้ายคลึงกับสีซึ่งใช้ในการตกแต่งรูปแกะสลักไม้ เช่น เชื้อราบนข้าวโพด (huitlacoche -มีสีม่วงอมเทา) หรือตัว cochinilla แมลงซึ่งอาศัยอยู่ในต้นกระบองเพชร โดยส่วนใหญ่ศิลปินในชุมชนท้องถิ่นมีการทำงานศิลปะที่ยั่งยืน โดยใช้ไม้จากทั้งต้นที่ล้มเอง และต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นและมีการปลูกป่าทดแทนในพื้นที่   การออกแบบที่สร้างแรงบันดาลใจ “ในกระบวนการสร้างงานศิลปะจากตำนานนี้ เราใช้ไม้เรซินที่เนื้อไม้ยังชื้น หลังจากนั้น ต้องปล่อยทิ้งไว้ประมาณหนึ่งหรือสองเดือนจนมันแห้งดี ขัดด้วยกระดาษทราย แล้วค่อยทาสีพื้น ขั้นตอนสุดท้ายคือการตกแต่ง เริ่มจากการทาสีห้าหรือหกชั้น จนกระทั่งสีมีความสม่ำเสมอ แล้วเราจึงค่อยสร้างรูปร่างอย่างที่ตั้งใจไว้ สิ่งที่ต้องมีอย่างยิ่งคือ ความอดทนและทักษะความชำนาญ" ในที่สุด เราได้เดินทางไปกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น G-Class ที่ผ่านการแปลงโฉมให้เต็มไปด้วยสีสัน ในทริปจากเม็กซิโกซิตี้ ไปยังเมืองศูนย์กลางของรัฐวาฮากา ทั้งผ่านถนนที่มีความเป็นสากลมากๆ ในเมืองหลวงของเม็กซิโก เส้นทางคดเคี้ยวทางตอนกลางของประเทศ และถนนสายโบราณเส้นต่างๆ เรายังได้ข้ามทุ่งข้าวโพด ไร่อากาเว และเมืองที่สงบงามอีกมากมาย ตลอดการเดินทาง เรารู้สึกอิ่มเอมไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอันรุ่มรวย เช่นเดียวกับผู้คนจำนวนมากที่ได้มาเยือนดินแดนอันแสนงดงามแห่งนี้ จากจุดเริ่มต้นกับโมเดลรุ่นแรกเมื่อ 40 ปีก่อน จนถึงปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ G-Class ยังคงสร้างแรงบันดาลใจ เปิดโอกาสให้เราได้สนองตอบความอยากรู้ และออกสำรวจโลกได้ดังใจปรารถนาอย่างไม่เสื่อมคลาย   แข็งแกร่งเหนือกาลเวลา: G-Class กว่า 40 ปี หลังการเปิดตัวครั้งแรก G-Class ได้กลายเป็นหนึ่งในรถรุ่นตำนานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่น ไม่เพียงสมรรถนะการขับเคลื่อนแบบออฟโรด แต่ยังมีความคลาสสิกในเชิงวิศวกรรมและการออกแบบ ที่แม้จะยังคงรูปลักษณ์ภายนอกดังเดิม แต่ภายในได้รับการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีล่าสุดอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งยังคงเดิม และสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เข้าใจตำนานยานยนต์ระดับไอคอนได้อย่างถึงแก่น ก็คือ การได้สัมผัสประสบการณ์ตรงกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ G-Class mb4.me/strongerthantime   ต้องการเห็นมากกว่านี้ไหม? ชมวิดีโอการเดินทางของเราทั่วเม็กซิโก: mbmag.me/gclassmexico   ------------------------------------------------------------------------------------ เรื่อง: ERNESTO ESCOBEDO ภาพ: CESAR DURIONE (COMA) ที่มา : Mercedes Me Magazine Issue 01/2021

By MercedesBenz

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ขนทัพรถยนต์พรีเมี่ยมครบครันทุกเซ็กเมนต์ทั้งในกลุ่ม Compact car, Contemporary Luxury, Dream Cars และ SUV รวมถึงแบรนด์รถสปอร์ตสมรรถนะสูงอย่าง “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” และแบรนด์เทคโนโลยีกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่าง EQ รวมกว่า 25 รุ่น ที่ตอบทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยมีไฮไลต์เป็นรถยนต์รุ่นประกอบในประเทศใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ “The new Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic” รถยนต์คอมแพ็ค เอสยูวี เจเนอเรชั่นที่ 2 พร้อมคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นยิ่งขึ้น พื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขึ้น ระบบความปลอดภัยที่มากขึ้น และ “Mercedes-Benz A-Class” ยนตรกรรมขนาดคอมแพ็คสุดโฉบเฉี่ยวใหม่ที่มาพร้อมราคาเริ่มต้นเพียง 1,990,000 บาท มาจัดแสดงภายใน งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 37 ระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคมนี้ ที่ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี โดยเมอร์เซเดส–เบนซ์ ยังมอบแคมเปญพิเศษส่งท้ายปี สำหรับลูกค้าทุกท่านที่ซื้อและรับมอบรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์ และ เมอร์เซเดส–เอเอ็มจี สำหรับรุ่นที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2563 รับฟรี! iPhone 12 มูลค่ากว่า 32,000 บาท (จำนวน 1 เครื่อง/รถยนต์ 1 คัน) ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ในปีนี้ เราได้เตรียมทัพรถยนต์พรีเมี่ยมครบครันทุกเซ็กเมนต์ ทั้งในกลุ่ม Compact car, Contemporary Luxury, Dream Cars และ SUV รวมถึงแบรนด์รถสปอร์ตสมรรถนะสูงอย่าง “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” และแบรนด์เทคโนโลยีกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อย่าง EQ รวมกว่า 25 รุ่น ที่ตอบทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยมีไฮไลต์พิเศษเป็นรถยนต์รุ่นประกอบในประเทศ 2 รุ่น ที่จะมากระตุ้นตลาดรถยนต์พรีเมี่ยมในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ได้แก่ “The new Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic” และ “Mercedes-Benz A-Class” ใหม่ ที่มาพร้อมราคาที่แข่งขันได้ และดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมาย ด้วยออปชันที่เรานำเสนอในรถยนต์ภายใต้ดีไซน์ที่มีความโดดเด่น และระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้แบบครบครัน เมื่อเทียบกับรถยนต์ระดับเดียวกัน เนื่องจากการเป็นรุ่นประกอบในประเทศ เรามั่นใจว่าทั้ง 2 รุ่น รวมถึงรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่เราเตรียมมาจัดแสดง จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ที่เข้ามาชมงานมหกรรมยานยนต์ในปีนี้อย่างแน่นอน”  สำหรับ งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 37 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคมนี้ ที่ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี เมอร์เซเดส-เบนซ์ยกทัพรถยนต์พรีเมี่ยม มาจัดแสดงครบทุกเซ็กเมนต์กว่า 25 รุ่น อาทิ Mercedes-AMG GT 53 4MATIC+ 4-Door Coupe, Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+, Mercedes-Benz C 300 e AMG Sport, Mercedes-Benz E 300 e AMG Dynamic, Mercedes-Benz S 560 e AMG Premium, Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupe AMG Dynamic, Mercedes-Benz V 250 d Business PLUS, Mercedes-Benz GLB 200 Progressive และอีกหลายรุ่น โดยมีไฮไลต์เป็นรถยนต์รุ่นประกอบในประเทศ 2 รุ่น ได้แก่   THE NEW MERCEDES-BENZ GLA 200 AMG DYNAMIC รถยนต์คอมแพ็คเอสยูวีเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มาพร้อมคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นยิ่งขึ้น พื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขึ้น และระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้แบบเต็มพิกัดยิ่งกว่าที่เคย เติมเต็มความโฉบเฉี่ยวให้กับทุกการเดินทางด้วยขุมพลังขนาด 1,332 ซีซี ทว่าให้กำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,620-4,000 รอบ/นาที และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ยอดเยี่ยมเฉลี่ยเพียง 5.7-6.0 ลิตร/100 กม. ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นและทรงพลังในทุกรายละเอียด ภายใต้การกำหนดสัดส่วนของตัวถังให้สั้นลงเล็กน้อย ดูคอมแพ็คมากขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทว่ามาพร้อมความสูงของตัวถังที่เพิ่มขึ้นกว่า 10 เซนติเมตรจากรุ่นก่อน ส่งผลให้ห้องโดยสารแถวหน้ามีพื้นที่เหนือศีรษะมากขึ้น ในขณะที่ห้องโดยสารแถวหลังก็มีพื้นที่วางขาที่กว้างขึ้นด้วย ภายในห้องโดยสารให้สัมผัสของการสร้างสรรค์สเกลการออกแบบใหม่ในทุกรายละเอียด ด้วยสไตล์ที่ให้ความรู้สึกสปอร์ต โมเดิร์น และให้ความรู้สึกกว้างขวางที่สัมผัสได้ทันทีเมื่อเข้ามานั่ง พร้อมเติมเต็มความสปอร์ตด้วยชุดตกแต่งภายในแบบ AMG Interior Package และความโดดเด่นของระบบไฟส่องสว่างแบบ Ambient Light ในห้องโดยสารที่มีให้เลือกถึง 64 สี ช่วยขับเน้นเอกลักษณ์ความสปอร์ตโดดเด่นยิ่งขึ้น The new Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic ยังมาพร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากมาย อาทิ ระบบ Active Parking Assist ที่ช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติพร้อมการแสดงผลหน้าจอจากกล้องหลัง พร้อมเซ็นเซอร์ที่ช่วยในการนำรถเข้าจอด PARKTRONIC ซึ่งจะทำให้การค้นหาพื้นที่ว่างสำหรับการจอดรถ และการเคลื่อนที่เข้าและออกจากพื้นที่เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ (Active Brake Assist) ที่จะช่วยตรวจจับระยะห่างระหว่างรถยนต์คันหน้าผ่านระบบสัญญาณเรดาร์ และเตือนด้วยเสียงเพื่อให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรคเพื่อชะลอความเร็ว ช่วยลดอุบัติเหตุและอันตรายที่เกิดจากการชนรถคันหน้า รวมถึง Mercedes me connect ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยทำงานร่วมกับระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยมอบความสะดวกสบาย และความปลอดภัยที่มากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ ในราคา 2,399,000 บาท   MERCEDES-BENZ A-CLASS คือยนตรกรรมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการเติมความโฉบเฉี่ยวให้กับชีวิตในเมืองใหญ่ ด้วยเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพียง 1,332 ซีซี แต่ให้กำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า ด้วยแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620-4,000 รอบ/นาที โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ยอดเยี่ยมเฉลี่ยเพียง 5.2 ลิตร/100 กม. ดีไซน์ภายนอกของ Mercedes-Benz A-Class สอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity ที่เน้นความเรียบง่าย และให้ความสำคัญกับผิวสัมผัส แต่ในขณะเดียวกันก็มีความร้อนแรงและดึงดูดใจ ด้วยโครงสร้างภายนอกที่โดดเด่น ผสมผสานระหว่างดีไซน์คลาสสิกของรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ และความปราดเปรียวเร้าใจได้อย่างลงตัว ส่วนภายในห้องโดยสารดูทันสมัยและกว้างขวาง เพื่อประโยชน์ใช้สอยที่มากที่สุด รูปลักษณ์ของหน้าปัดออกแบบมาอย่างล้ำสมัย ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในทุกรายละเอียด พร้อมความโดดเด่นของระบบไฟส่องสว่างแบบ Ambient Light ให้เลือกถึง 64 สี ช่วยขับเน้นเอกลักษณ์ความสปอร์ตโดดเด่นยิ่งขึ้น Mercedes-Benz A-Class ยังมาพร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากมาย อาทิ ระบบ Active Parking Assist ที่ช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติพร้อมการแสดงผลหน้าจอจากกล้องหลัง พร้อมเซ็นเซอร์ที่ช่วยในการนำรถเข้าจอด PARKTRONIC ซึ่งจะทำให้การค้นหาพื้นที่ว่างสำหรับการจอดรถ และการเคลื่อนที่เข้าและออกจากพื้นที่เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ (Active Brake Assist) ที่จะช่วยตรวจจับระยะห่างระหว่างรถยนต์คันหน้าผ่านระบบสัญญาณเรดาร์ และเตือนด้วยเสียงเพื่อให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรคเพื่อชะลอความเร็ว ช่วยลดอุบัติเหตุและอันตรายที่เกิดจากการชนรถคันหน้า รวมถึง Mercedes me connect ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยทำงานร่วมกับระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ Mercedes-Benz A-Class มีวางจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่  Mercedes-Benz A 200 Progressive ราคา 1,990,000 บาท   Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic ราคา 2,150,000 บาท ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 37 ตั้งแต่วันที่ 2-13 ธันวาคมนี้ ที่ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี ▶️ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น และแคมเปญพิเศษได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ   ▶️ นอกจากนี้ทางบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดงาน StarFest 2020: The Greatest Offers กับโอกาสครั้งสำคัญที่สุดที่ลูกค้าและผู้สนใจจะได้สัมผัส และเป็นเจ้าของยนตรกรรมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษเดียวกับที่งานมหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน – 20 ธันวาคม 2563 ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ▶️ ติดตามข้อมูลข่าวสารของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ที่ www.facebook.com/MercedesBenzThailand

By MercedesBenz

ในระหว่างการเดินทางหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด บนท้องถนน เช่น ยางรั่ว ยางแบน หรือยางระเบิด คงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกแน่ ดังนั้น ยาง Run Flat ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถต่อไปได้อย่างปลอดภัยหากเกิดการสูญเสียแรงดันลมยาง จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเดินทางมีความปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น ยาง Run Flat จะถูกเสริมความแข็งแรงของแก้มยาง เพื่อช่วยประคองไม่ให้รถเสียการทรงตัวและสามารถวิ่งต่อไปได้ ซึ่งความแข็งแรงของแก้มยางนี้ส่งผลให้ยาง Run Flat ในยุคแรกมีความกระด้างมากกว่า ยางทั่วไป ซึ่งทางมิชลินก็ไม่ยอมเสียชื่อในเรื่องของความนุ่มนวล จึงได้คิดค้นเทคโยโลยีใหม่ให้กับ “MICHELIN PRIMACY 3 ZP” ยาง Run Flat ที่ยังคงความนุ่มสบายตามสไตล์ตระกูล “ไพรมาซี่” ของมิชลิน MICHELIN PRIMACY 3 ZP เป็นยาง Run Flat คุณภาพสูง ที่มีความนุ่มนวลโดดเด่นกว่ายาง Run Flat ทั่วไป และนับเป็นยางกลุ่มพรีเมียม ที่นุ่มสบายที่สุดรุ่นหนึ่งของมิชลิน โดยสัญลักษณ์ ZP ที่ต่อท้ายชื่อรุ่นบนแก้มยางนั้นหมายถึง Zero Pressure เป็นยางที่มีเทคโนโลยีพิเศษ มีการเสริมความแข็งแรงของแก้มยาง ช่วยให้รถยนต์แล่นต่อไปได้แม้สูญเสียลมยางไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ รถจะยังวิ่งไปต่อได้ด้วยเสถียรภาพที่ใกล้เคียงกับปกติ ในความเร็วที่ไม่เกิน 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ด้วยระยะทางที่มากถึง 80 กิโลเมตร นั่นเพียงพอที่จะวิ่งไปศูนย์บริการในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างปลอดภัยโดยที่ไม่ต้องลงรถไปเปลี่ยนยางอยู่ข้างทางหลวง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย โดยยาง MICHELIN PRIMACY 3 ZP สามารถใช้ร่วมกับระบบ TPMS (Tire Pressure Monitoring System) ของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อตรวจเช็กแรงดันลมยางและแจ้งเตือนบนหน้าจอหากแรงดันลมยางไม่ปกติ อีกหนึ่งคุณสมบัติพิเศษของยาง MICHELIN PRIMACY 3 ZP นั่นคือการได้รับการพัฒนาขึ้นพร้อมเนื้อยางสูตรใหม่ที่แข็งแรงแต่ยืดหยุ่น ช่วยดูดซับแรงกระแทก เพิ่มความนุ่มสบาย ลวดเสริมขอบยางขนาดเล็กลง ทำให้น้ำหนักและความกระด้างของยางลดลง แต่ยังคงแข็งแรงเท่าเดิม นอกจากนี้ ลายดอกยางถูกออกแบบใหม่เพื่อให้มีการทำงานร่วมกัน ระหว่างแถบเนื้อยางระหว่างบล็อกดอกยาง และดอกยางแบบตัดมุม ช่วยป้องกันบล็อกดอกยางล้มตัว ไม่สูญเสียพื้นที่หน้าสัมผัสจึงปลอดภัย มั่นใจทุกครั้งที่แตะเบรกไม่ว่าสภาพถนนเปียกหรือแห้ง และในขณะที่ยาง Run Flat ค่ายอื่นไม่แนะนำให้ซ่อม แต่ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง ทำให้ MICHELIN PRIMACY 3 ZP สามารถซ่อมได้ 1 ครั้ง หากเกิดความเสียหายด้วยบาดแผลเล็กน้อย ซึ่งเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายหากยังไม่ถึงระยะเวลาที่กำหนดในการเปลี่ยนยาง ยกระดับความปลอดภัยขึ้นอีกขั้น สัมผัสความนุ่มสบายกว่าที่เคย และมั่นใจในทุกเส้นทางไปกับ MICHELIN PRIMACY 3 ZP ยาง Run Flat สำหรับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของคุณ

By MercedesBenz

บุคลิกสปอร์ตและรูปแบบที่ชัดเจน เจเนอเรชันใหม่ของการผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยี และการออกแบบอันสง่างาม สิ่งนี้ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์คลาสสิกน่าดึงดูดกว่าที่เคย   Dynamically relaxed การออกแบบ C-Class ใหม่ ดูล้ำสมัยกว่าที่เคยเมื่อมองจากภายนอก: เส้นสายที่ลดลง และสัดส่วนที่ไหลลื่นมีพลัง แสดงถึงความหรูหราทันสมัยสไตล์สปอร์ต   Sporty lightness องค์ประกอบของการออกแบบอันทรงพลัง กระตุ้นให้การขับเร็วเป็นเรื่องสนุก C-Class นั้นคล่องตัวเป็นพิเศษ ทั้งยังขับง่ายด้วยระบบล้อหลังช่วยเลี้ยวซึ่งมีให้เป็นตัวเลือกเสริม   Expressive from every angle เส้นสายด้านข้างที่สะอาดตาไปจนถึงด้านหลังที่ปิดท้ายด้วยไฟท้ายสองส่วน การออกแบบที่โดดเด่นทั้งกลางวันและกลางคืนนี้สะกดใจ   Perfection in the spotlight DIGITAL LIGHT ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมนั้นสว่างและชัดเจนอย่างยิ่ง ไฟหน้าแบบ LED ประสิทธิภาพสูง มอบความปลอดภัยและทัศนวิสัยที่ดีขึ้นตามมาตรฐานการออกแบบ โดดเด่นเน้นรูปลักษณ์ด้านหน้าอันทรงพลัง   Sensitive sports steering wheel พวงมาลัยที่ไม่เพียงแค่บังคับทิศทาง แต่ยังเป็นองค์ประกอบในการทำงานอีกมากมายของรถยนต์ และฟังก์ชันอันหลากหลายของ MBUX มีเซ็นเซอร์ที่ตอบสนองต่อการสัมผัส   At home on the road อย่าออกจากพื้นที่ปลอดภัยของคุณ- ขยายขอบเขตมัน C-Class ใหม่นำโลกส่วนตัวอันผ่อนคลายสะดวกสบายของคุณมาสู่ท้องถนน -----||-----   Simply convenient เทคโนโลยี คุณจะได้สัมผัสบรรยากาศภายใน C-Class เหมือนที่ S-Class ประสบความสำเร็จ: จุดเด่นอันชาญฉลาด เช่น เทคโนโลยีเสมือนจริงสำหรับการนำทางที่เสริมด้วยสำเนียงแบบสปอร์ต ระบบ MBUX รุ่นใหม่ มอบความสะดวกสบายในระดับสูงสุด   People at its heart ห้องโดยสารและระบบควบคุมแบบดิจิทัล ได้รับการออกแบบอย่างครอบคลุมโดยคำนึงถึงผู้โดยสารเป็นหลัก   Easy to use จอแสดงผลส่วนกลางดูเหมือนเกือบจะลอยออกมาและเอนเข้าหาคนขับ MBUX ฟังก์ชันสำคัญของรถสามารถควบคุุมผ่านระบบสัมผัส   Analogue design highlight ช่องแอร์ทรงกลมสามอันเหนือจอแสดงผลกลาง มีรูปลักษณ์เหมือนชิ้นส่วนไอพ่นของเครื่องบิน -----||-----   Sustainably electrifying ยานยนต์ ยนตรกรรม C-Class รุ่นใหม่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ: ในเครื่องยนต์ไฮบริดอันนุ่มนวลทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และด้วยปลั๊ก-อินไฮบริด รถสามารถแล่นได้ในระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับประสบการณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้าที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในอนาคต   Striking front เทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพบรรจุอยู่เบื้องหลังกระจังหน้าทรง diamond grille แบบ AMG   Exclusive material mix วัสดุที่ดูเหมือนหนัง ไม้วีเนียร์ และอะลูมิเนียมแท้ ได้รับการคัดสรรมาผสมผสานเพื่อสร้างพื้นผิวที่เป็นนวัตกรรม   Sustainable performance หนึ่งในรถรุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุดอย่าง C-Class เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน นี่คือทุกสัมผัสของความสะดวกสบายสำหรับอนาคต   เรื่อง: JULIA MENGELER ภาพ: MERCEDES-BENZ AG

By MercedesBenz

Mercedes-EQ กำลังบันทึกบทใหม่เรื่องเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า กับ EQS ใหม่: หนึ่งในสิ่งที่ยั่งยืน เร้าอารมณ์ และหรูหรา การผสมผสานที่น่าตื่นเต้นระหว่างการออกแบบศิลปะและเทคโนโลยีล้ำสมัย คือสิ่งที่ทำให้ Alicia Keys (นักร้องนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน) รู้สึกทึ่งกับ EQS ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบทเพลงอันอ่อนไหวของศิลปิน รูปแบบแคมเปญใหม่ของรถซีดานหรูไฟฟ้าทั้งหมดคันแรกของเมอร์เซเดส-อีคิวนี้ จึงดูเหมือนลอยละล่องลงราวกับมาจากดาวดวงอื่น ทิ้งตัวลงมาอย่างนุ่มนวล เข้ามาหาซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ตาสบตา ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อที่เป็นธรรมชาติ และดูเหมือนง่ายดาย ระหว่างนวัตกรรมยานยนต์และความตระการตา การเชื่อมต่อนี้เป็นหัวใจหลักของ EQS และทำให้ยนตรกรรมนี้เป็นที่ต้องการมากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าทั้งคันที่อยู่ในแถวหน้าของตระกูลเมอร์เซเดส-อีคิว แสดงให้เห็นถึงความหรูหราที่ยั่งยืนและก้าวล้ำ ในแบบที่รถยนต์คันอื่นไม่เคยทำมาก่อน   ลักษณะเฉพาะที่สะท้อนให้เห็นรูปแบบของ EQS: รูปลักษณ์ภายนอกเป็นไปตามภาษาการออกแบบที่ชัดเจน ซึ่งถ่ายทอดสายเลือดทางเทคโนโลยีสู่โลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพและสง่างาม อันเป็นคุณลักษณะเฉพาะของยนตรกรรมทั้งหมดจากตระกูลเมอร์เซเดส-อีคิว โดย EQS เปลี่ยนเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ให้เป็นประสบการณ์ความหรูหรารูปแบบใหม่ ที่ดึงดูดทุกความรู้สึก และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความมั่นใจ เพราะ EQS คือยนตรกรรมแห่งความรับผิดชอบในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเราทุกคน   มาค้นพบเรื่องราวของ EQS ใหม่ ยานยนต์ไฟฟ้าระดับหรูคันแรก ที่ mbmag.me/eqs

By MercedesBenz

เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเปิดตัว “The new S-Class” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่สุดแห่งยนตรกรรมในตระกูลเอสคลาสของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่พร้อมมอบประสบการณ์ความหรูหราและความปลอดภัย ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ ทั้งในเรื่องของการมอบความสะดวกสบายในการขับขี่ การปกป้องผู้โดยสารในทุกเบาะที่นั่ง ตลอดจนการมอบประสบการณ์การใช้งานแบบอินเทอร์แอคทีฟ ที่ตอบทุกความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ผ่านระบบดิจิทัลในทุกรายละเอียด   The new S-Class มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,925 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ มอบพละกำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 600 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.4 วินาที โดยขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เครื่องยนต์ชุดนี้นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย   การออกแบบภายนอกของ The new S-Class ถ่ายทอดความหรูหราออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity ในภาษาดีไซน์ที่ได้รับการยกระดับขึ้นในทุกๆ ส่วน ภายใต้การตีความใหม่ให้ดูโมเดิร์นยิ่งกว่าที่เคย ตั้งแต่ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ดีไซน์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ล้อแบบ AMG ขนาดใหญ่สูงสุด 20 นิ้ว กับระยะฐานล้อที่ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิมมากถึง 51 มิลลิเมตร เส้นโค้งหลังคา Catwalk line ที่กดองศาของหลังคาให้ต่ำลง ทำให้รถยนต์คันนี้ดูสปอร์ตขึ้น ทว่าพื้นที่ห้องโดยสารไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ การออกแบบให้มือจับประตูเป็นแบบไร้รอยต่อ (Seamless door handles) ยังช่วยเพิ่มความกลมกลืนของเส้นสายทางด้านข้าง และช่วยให้การล็อกและปลดล็อกประตู ทำได้อย่างสะดวกสบายเพียงใช้มือสัมผัสที่มือจับประตู   ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่นที่มอบทั้งความหรูหรา คุณภาพระดับสูง และวิสัยทัศน์ในการขับขี่ที่ดีที่สุด พรั่งพร้อมด้วยระบบ ENERGIZING comfort control ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 เฉดสี ระบบปรับอากาศพร้อม AIR BALANCE package ที่ทำให้ห้องโดยสารสะอาดยิ่งขึ้น และระบบเครื่องเสียงจากลำโพง Burmester 3D surround sound system ที่ให้คุณภาพเสียงที่มีมิติลุ่มลึก ฯลฯ ในห้องโดยสารยังพร้อมมอบประสบการณ์ดิจิทัล ที่ตอบรับความต้องการของผู้โดยสารในทุกที่นั่ง ตั้งแต่เบาะที่นั่งตอนหน้าเรื่อยไปจนถึงตอนหลัง เริ่มตั้งแต่การออกแบบคอนโซลหน้าด้วยรูปลักษณ์ใหม่ที่ดูโมเดิร์นขึ้น และตอบรับกับสรีระของผู้ใช้มากขึ้น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง Nappa leather และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ความละเอียดสูงแบบ Digital Instrument clusters ขนาด 12.3 นิ้ว    นอกจากนี้ The new S-Class ยังนำทุกปุ่มควบคุมตรงคอนโซลส่วนกลางให้เข้ามาอยู่บนหน้าจอ MBUX7 แบบทัชสกรีน ขนาด 12.8 นิ้ว ทั้งหมด โดยใช้หน้าจอแบบ OLED ที่มอบพื้นที่การใช้งาน (active area) บนหน้าจอที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมกว่า 64% ภายใต้การออกแบบในลักษณะฟรีฟอร์มดูบางเบา ทว่าตอบสนองฉับไว ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันการทำงานของรถยนต์ และฟังก์ชันต่างๆ ภายในห้องโดยสารได้อย่างใจ เพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยผสานการทำงานร่วมกับระบบจดจำโปรไฟล์ผู้ขับขี่ ด้วยการสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint scanner) ที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ขับขี่แต่ละคน เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลตลอดการขับขี่ได้อย่างตรงใจ เบาะที่นั่งตอนหลังแบบมัลติคอนทัวร์ ยังมาพร้อม Rear Seat Comfort Package ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายในการโดยสารสูงสุด ทั้งการเป็นเบาะไฟฟ้าที่สามารถปรับตำแหน่งที่นั่งได้ และฟังก์ชันการนวด ENERGIZING ที่สามารถเลือกโปรแกรมการนวดได้สูงสุด 6 โปรแกรม   ระบบมัลติมีเดีย MBUX7 (Mercedes-Benz User Experience) เจเนอเรชันใหม่ จะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ขึ้นอีกขั้น ทั้งการมี MBUX Interior Assistant ที่จะทำงานอย่างฉับไว ในการตอบรับการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้โดยสาร โดยระบบ Gesture Control 2.0 จะตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือ ศีรษะ และร่างกาย เพื่อแปลความต้องการของผู้ใช้ นำไปสู่การควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ภายในรถยนต์ เช่น หากยื่นมือขึ้นหรือลงทางกระจกมองหลัง ไฟอ่านหนังสือจะติดขึ้นหรือดับลงเองโดยอัตโนมัติ ฯลฯ ส่วนระบบ MBUX High-End Rear Seat Entertainment จะทำงานร่วมกับ Rear Tablet หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ยกระดับการควบคุมความบันเทิงของผู้โดยสารตอนหลัง ให้สะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมความบันเทิงบนหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว 2 หน้าจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง โดยภายในห้องโดยสารยังมาพร้อมระบบเสียง Burmester 3D surround sound system พร้อมชุดลำโพง 15 ตัวด้วย   ใน The new S-Class ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลังเป็นครั้งแรก ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Parking Package with 360° camera) ที่มอบมุมมองรอบรถยนต์แบบ 360 องศา ที่เสมือนจริงยิ่งกว่าที่เคย ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE PLUS ที่ดีขึ้น ระบบ ATTENTION ASSIST รุ่นใหม่ที่ช่วยตรวจจับความผิดปกติของผู้ขับขี่ และส่งสัญญาณเตือนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงระบบความปลอดภัยที่รวมอยู่ใน Driving Assistance Package เจเนอเรชันล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น Evasive Steering Assist ที่ช่วยดึงให้รถยนต์กลับมาอยู่ในเลน หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน Active Emergency Stop Assist หรือระบบการหยุดรถฉุกเฉินที่จะทำงานตลอดเวลา รวมถึงฟังก์ชัน Exit Warning ที่จะทำงานหากมือของผู้โดยสารมีการขยับไปใกล้ที่จับประตูด้านใน ฯลฯ   มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วันนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะให้ทุกคนได้พบกับ “The new S-Class” รถยนต์ที่ดีที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ทั้งยังเป็นรถยนต์หรูที่ขายดีที่สุดทั้งในตลาดโลกและในตลาดไทย สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสคลาส รุ่นใหม่นี้ เรามีความภาคภูมิใจที่ได้นำเสนอรถยนต์ที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นที่สุด ทั้งในเรื่องความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ภายใต้การผนวกเอานวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำหน้า ที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ มาถ่ายทอดผ่านทุกรายละเอียดของการออกแบบ โดยเฉพาะประสบการณ์การเชื่อมต่อบนรถยนต์ผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สาย ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ จับมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 4G LTE ในประเทศไทยโดยเฉพาะ จึงช่วยให้ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น ที่จะสามารถเปิดรับประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นที่สุด ในแบบของรถยนต์รุ่นเอสคลาสได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ “The new S-Class” สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และทำการจองรถยนต์กับผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้”   The new S-Class มีวางจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่  Mercedes-Benz S 350 d Exclusive ราคา 6,690,000 บาท Mercedes-Benz S 350 d AMG Premium ราคา 7,190,000 บาท   พร้อมให้ลูกค้าผู้สนใจจับจองได้ตั้งแต่วันนี้ โดยลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The new S-Class และรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

By MercedesBenz

ความหรูหราของการสร้างสรรค์รถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม ด้วยการ เปิดตัว “Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium” สุดยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์ พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ ผสานความหรูหราเหนือระดับ เช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class เข้ากับความแข็งแกร่ง และอเนกประสงค์ในแบบรถยนต์เอสยูวี ที่เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย พร้อมตอบโจทย์ความต้องการรถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2564 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมย้ำความมุ่งมั่นที่เรามีต่อตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย โดยเฉพาะเซกเมนต์รถยนต์เอสยูวี ที่เรามองเห็นความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ด้วยการเปิดตัว “Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium” รุ่นประกอบในประเทศอย่างเป็นทางการ โดยนอกจากจะเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่ไม่ประนีประนอม ทั้งในเรื่องของความหรูหราเหนือระดับ เช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class และการสร้างสรรค์รถยนต์สายพันธุ์เอสยูวี ที่มีความอเนกประสงค์และแข็งแกร่ง พรั่งพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ มั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า ที่กำลังมองหายนตรกรรมอเนกประสงค์ที่ตอบทั้งโจทย์ด้านความหรูหรา และความแข็งแกร่งในแบบเอสยูวี” Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium คือสุดยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นประกอบในประเทศใหม่ ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องความกว้างขวางของห้องโดยสาร ความสะดวกสบายเหนือจินตนาการ ดีไซน์ที่มีความสง่างาม และความหรูหราเหนือระดับเช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class พร้อมทั้งความแข็งแกร่งและอเนกประสงค์ในแบบรถยนต์เอสยูวี ที่เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด ให้การขับขี่แบบ off-road ที่ดีที่สุด โดยมาพร้อมขุมพลังดีเซลขนาด 2,925 ซีซี ให้กำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,200 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7 วินาที การขับขี่ยังมอบความเพลิดเพลินและราบรื่น ด้วยระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ที่ให้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้รวดเร็วและนุ่มนวล พร้อมประหยัดเชื้อเพลิงกว่า 6.5% ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “Full time” แบบ 4MATIC ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถและการทรงตัวบนถนนที่เปียกลื่น รวมถึงการขับขี่ บนทางแบบ OFF-ROAD ให้คุณสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างเฉียบคม มั่นใจ และให้ความนุ่มนวลตลอดการเดินทางในทุกสภาพถนนด้วยระบบช่วงล่างแบบ AIRMATIC และเป็นครั้งแรกที่จะได้พบกับฟังก์ชันเตรียมรถเข้าสู่เครื่องล้างอัตโนมัติ โดยจะทำงานอย่างสอดคล้องร่วมกับระบบ AIRMATIC เพียงสั่งงานผ่านหน้าจอ media display ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นที่เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความเข้มของแสง และความยาวของลำแสงได้อิสระจากกัน โดยมีระบบตรวจจับวัตถุที่คำนวณความสว่างอัตโนมัติ และไฟท้ายแบบ LED พร้อมล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบา ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ 21 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (Panoramic sliding sunroof) ที่เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่ ภายในห้องโดยสาร ซึ่งรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่าน ได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวางและสะดวกสบายมาตรฐานเดียวกับ S-Class ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 มิลลิเมตร จึงมีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างและโปร่งสบายขึ้น โดยเฉพาะที่นั่งแถว 2 ที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมบันทึกตำแหน่งที่นั่งได้ และยังสามารถปรับเลื่อนเบาะถอยหลังได้ถึง 10 เซนติเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับวางขา โดยพนักพิงสามารถปรับเอนได้มากกว่าเดิม ส่วนเบาะที่นั่งแถวที่ 3 เป็นที่นั่งแบบ full-size รองรับผู้โดยสารที่มีส่วนสูงได้ถึง 194 เซนติเมตร พร้อมระบบ EASY-ENTRY ที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เบาะและพนักพิงของที่นั่งแถว 2 สามารถพับขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เข้าสู่ที่นั่งแถว 3 ได้ง่ายดายขึ้น ทั้งนี้ เบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถพับได้อย่างอิสระ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายและเพิ่มพื้นที่ความจุสำหรับเก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตร ตอบสนองทุกความต้องการ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความกว้างขวางตามแบบฉบับยานยนต์อเนกประสงค์ ในห้องโดยสารยังเพิ่มสุนทรียภาพด้วยระบบไฟส่องสว่างแบบ Ambient Light ที่มีให้เลือกถึง 64 สี โดย Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังมาพร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากมาย โดยเฉพาะ Mercedes me connect ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้าและผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยทำงานร่วมกับระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ พร้อมหน้าจอสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 เพื่อความบันเทิงแบบ MBUX Rear Seat Entertainment จำนวน 2 จอ ขนาด 11.6 นิ้ว พร้อมระบบควบคุมหน้าจอแบบสัมผัส เพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยหูฟังแบบ wireless head sets คุณภาพสูง Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 6,499,000 บาท   📍 ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium และเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ   ------------------------------------------------------------------ WORD / PHOTO : MERCEDES BENZ-THAILAND ที่มา : Mercedes Card Journal Issue 01/2021

By MercedesBenz

Mercedes Me Adapter คือนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึง และแสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ Mercedes-Benz แบบ Real-time เช่น เช็คปริมาณน้ำมัน และตรวจสอบสภาพรถยนต์พื้นฐาน ณ ขณะนั้น โดยการเชื่อมต่อรถยนต์ Mercedes-Benz ของคุณผ่านอุปกรณ์ Mercedes Me Adapter และแสดงผลผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes Me บนสมาร์ทโฟนของคุณ Mercedes Me Adapter ช่วยให้คุณรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่จำเป็นในการดูแลรถยนต์ Mercedes-Benz ให้พร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันการติดต่อนัดหมายรับบริการที่ศูนย์บริการ หรือติดต่อขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาของคุณในการค้นหาที่จอดรถ เมื่อไปสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และช่วยคุณตามหารถของคุณในลานจอดรถ ซึ่งทำให้การเดินทางของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มากไปกว่านั้น คุณยังสามารถเก็บข้อมูลการเดินทางต่างๆ จาก Mercedes Me Adapter ไว้บนสมาร์ทโฟนของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการใช้รถ ระยะทางที่ใช้ เวลาที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อใช้ในการวางแผน และประหยัดเวลาในการเดินทาง และช่วยให้ชีวิตของคุณง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชั่นพื้นฐานต่างๆ ที่สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันตรวจสอบลมยาง ฟังก์ชันเตือนการล้างรถ หรือฟังก์ชันวัดอุณหภูมิทั้งในและนอกรถ ที่สามารถปรับได้ดังใจ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่ารถยนต์ Mercedes-Benz จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ และรู้สึกวางใจทุกครั้งที่สตาร์ทรถ อุปกรณ์ Mercedes Me Adapter ไม่เพียงแต่ช่วยให้รถยนต์ของคุณคงความเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ เหมือนดังเช่นวันแรกที่คุณรับรถ แต่ยังเพิ่มความทันสมัยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์คันโปรดของคุณได้เพียงปลายนิ้ว   สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Mercedes Me Adapter บน Apple App Store (iOS) และ Google Play Store เพื่อตรวจสอบรุ่นรถยนต์ที่สามารถใช้งาน Mercedes Me Adapter ฟรี ที่ ระบบ iOS ที่ Apple App Store : http://mb4.me/MmAios และระบบ Android ที่ Google Play Store: http://mb4.me/MmAAndroid สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการ Mercedes-Benz อย่างเป็นทางการใกล้บ้านคุณ   ----------------------------------------------------------------- ที่มา : Mercedes Card Journal / Issue 01-2021 Word / Photo : Mercedes-Benz Thailand

By MercedesBenz

ยุค 70s ยุคทองแห่งความเฟื่องฟู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรี สถาปัตยกรรม การตกแต่งอาคาร การแต่งกาย และอาหาร ล้วนมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แห่งยุค Bangkok’78 ณ โรงแรมสินธรมิดทาวน์ กรุงเทพฯ จุดหมายใหม่ที่ชวนอิ่มเอมไปกับความละเมียดละไมแห่งรสชาติอาหารไทยย้อนยุค เรียกว่าคนร่วมยุคสมัยจะจดจำเสน่ห์แห่งรสชาติที่สามารถย้อนวัยกลับไปคิดถึงด้วยรอยยิ้ม ปลุกความทรงจำผ่านการรังสรรค์หลากหลายเมนูคลาสสิก โดย เชฟกอล์ฟ ภัควลัญชญ์ เวชมนต์ เมนูอาหารไทยแท้ดั้งเดิมหลากรสคุ้นเคย ที่ถูกปากชาวกรุงเทพฯ มาทุกยุคทุกสมัย เชฟกอล์ฟ นำแพชชั่นในการทำอาหารตั้งแต่สมัยเด็ก จากการที่มักได้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในครัวเป็นลูกมือในร้านอาหารเล็ก ๆ ของคุณแม่ นับแต่นั้นมารสมือจากความทรงจำ ผสมผสานเข้ากับรสชาติและเทคนิคการปรุงในยุคปัจจุบัน โดยคงความดั้งเดิมของเมนูอาหารอันคุ้นเคยที่อัดแน่นด้วยเครื่องเทศ และรสชาติที่กลมกล่อมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สำหรับเมนูเรียกน้ำย่อยที่เป็นไฮไลต์อาหารจานหลัก อย่าง เมนูยำมะเขือยาวหมูสับไข่ต้ม ที่นำมะเขือยาวชิ้นโตมาเผาจนหอม ปรุงรสด้วยน้ำยำครบรสรับประทานเข้ากันกับหมูสับ เสิร์ฟพร้อมไข่เป็ดต้มยางมะตูม, เมนูไข่ตุ๋นทะเลหมูสับหม้อไฟไข่ตุ๋น เนื้อเนียนเสริมรสชาติกลมกล่อมด้วยหมูสับและอาหารทะเลสดใหม่ และ ดอกขจรผัดวุ้นเส้นและแหนมดอกไม้ ผักพื้นบ้านเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ นำมาผัดกับวุ้นเส้นนุ่มหนึบเสริมรสเปรี้ยวเค็มด้วยแหนมหมู และปิดท้ายด้วยของหวานที่ไม่ควรพลาด อย่าง ว่านหางจระเข้ในน้ำเชื่อมอัญชันมะนาว ครบรสเปรี้ยวหวานหอมสดชื่น และ กระท้อนหิมะเกล็ดน้ำแข็งละเอียด แบบกรานิต้าตัดด้วยรสหวานหอมจากกระท้อนผลไม้ไทยที่คุ้นเคย ในส่วนของเครื่องดื่ม นอกจากไวน์สัญชาติไทยและนานาชาติที่พร้อมให้เลือก มาเสริมบรรยากาศบนโต๊ะอาหารแล้ว Bangkok’78 ยังนำเสนอ เครื่องดื่มชาเย็นแบบไทย ๆ ด้วยสี่รสชาติซิกเนเจอร์ ได้แก่ ชามะนาว, ชาตะไคร้และขิง, ชาเก๊กฮวยและใบเตย และชาราสเบอร์รี่ สำหรับการตกแต่งเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด นำแรงบันดาลใจจากถนนหนทางต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เส้นขอบฟ้า และตึกระฟ้า ที่เป็นภาพทรงจำกลิ่นอายกรุงเทพฯ ในอดีตเชื่อมต่อกรุงเทพฯ ยุค 2022's ณ ห้องอาหารแห่งใหม่ Bangkok’78 โดยเน้นโทนสีเข้มให้ความหนักแน่นตัดอารมณ์ด้วยการใช้ลายเส้นขอบ และเท็กซ์เจอร์ที่คมชัดพร้อมด้วยภาพวาดบนผนังสื่อถึงบรรยากาศของกรุงเทพฯ ในยุค 1970’s ขณะเดียวกันบนผนังยังมีลวดลายงานจักสานสีสันสดใส ให้อารมณ์ความมีชีวิตชีวาของแผงขายอาหารข้างทาง หนึ่งในเอกลักษณ์คุ้นตาของกรุงเทพฯ 📍 อีกทั้งเพลย์ลิสต์เพลงคลาสสิกจากยุค 1970’s ที่ได้รับการคัดสรรขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ทุกความทรงจำของวันวานอันแสนสนุกได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ณ Bangkok’78 สามารถรับฟังได้ที่นี่ 🕚 Bangkok’78 เปิดให้บริการทุกวัน: มื้อกลางวันจันทร์–ศุกร์: 11:30 –15:00 น., มื้อกลางวันเสาร์–อาทิตย์: 11:30 –17:00 น. มื้อเย็นทุกวัน: 17:00 –22:00 น. 📍 ร้านอาหารสามารถรองรับแขกได้ 150 ที่นั่ง พร้อมด้วยห้องส่วนตัวสำหรับแขก ตั้งแต่จำนวน 8, 10, 12 และ 14 🌐 รายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่ง: https://www.sindhornmidtown.com/dine/thai-restaurant-bangkok

By MercedesBenz

หาดเชิงมนขึ้นชื่อเรื่องความงดงามและเงียบสงบหาดหนึ่งของเกาะสมุย จุดหมายเปี่ยมเสน่ห์มนต์ขลังอันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตติดทะเลแห่งใหม่ ดึงดูดให้นักพักผ่อนจากทั่วโลกต่างเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ กับบริการมาตราฐานคิมป์ตันตั้งแต่ก้าวแรก ณ KIMPTON KITALAY SAMUI (คิมป์ตัน คีตาเล สมุย) ที่ถือได้ว่าเป็นรีสอร์ตแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ IHG Hotels & Resorts เครือโรงแรมและรีสอร์ตสุดหรูระดับโลก เพียงไม่กี่นาทีจากท่าอากาศยานนานาชาติสมุย ก็ได้สัมผัสบรรยากาศอันแสนอบอุ่นของการต้อนรับ ภายใต้โครงสร้างโปร่งโล่งด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหมู่บ้านชาวประมงเพียงแห่งเดียวบนเกาะสมุย พร้อมกลิ่นอายวิถีชาวเลแห่งท้องทะเลใต้แบบพื้นบ้าน ผสานความหรูหราอย่างมีสไตล์ ความเหนือระดับกับประสบการณ์การพักผ่อนที่เสมือนอยู่บ้าน นั่นคือหัวใจสำคัญที่คิมป์ตันมอบให้ผู้เข้าพัก และรีสอร์ตแห่งนี้ยังเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง Pet Friendly Resort ที่อนุญาตให้เพื่อนสัตว์เลี้ยงเกือบทุกประเภทเข้าพักได้ เรียกว่าแทบจะไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าน้องสัตว์เลี้ยงจะขนาดเล็กหรือใหญ่ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมเมื่อนำเพื่อนรักแสนรู้เข้าพักอีกด้วย จากโถงต้อนรับเพียงไม่กี่ก้าว ก็เข้าสู่มิติแห่งความผ่อนคลายไปกับ คิมป์ตัน คีตาเล สมุย ที่มอบวิวทะเลและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้า สะกดทุกสายตาดึงดูดให้เข้ามาค้นหาเสน่ห์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอันเต็มไปด้วยเรื่องราว และยังได้เข้าถึงความหมายของชื่อ "คีตาเล" ชวนให้ดำดิ่งสู่บทเพลงก้องกังวานขับขานจากท้องทะเลสีคราม เสน่ห์รีสอร์ตหนึ่งเดียวบนเกาะสมุย ที่เบลนด์ความหรูหรา ความทันสมัย และกลิ่นอายของวัฒนธรรมประมงพื้นบ้านเข้าไว้ด้วยกัน ได้รับการตีความใหม่โดยบริษัทออกแบบชื่อดัง นำเอาสัญลักษณ์และรายละเอียดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ อย่าง เศษไม้จากเรือประมง เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่เหนือกาลเวลา โคมไฟดีไซน์จากหวาย ลวดลายฝาผนังขัดแตะจากไม้ไผ่ตามแบบบ้านชาวประมง ส่งต่อแรงบันดาลใจสู่งานหัตถศิลป์บนผนังห้องโซนต่างๆ ลวดลายพรม และงานศิลปะชิ้นเอกจากช่างฝีมือชาวไทย ที่ประดับตกแต่งในส่วนต่างๆ ของรีสอร์ต ยึดโยงหัวใจสำคัญของการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในส่วนของห้องพัก รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 138 ห้อง ภายใต้อาคารสีขาวที่มีสระว่ายน้ำล้อมรอบ และโซนวิลล่า ที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวทุกหลัง อาทิ วิลล่าริมทะเล ที่สวยงาม จำนวน 21 หลัง ประกอบด้วย Garden Pool Villa แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 171 ตร.ม. เชื่อมต่อกับสวนเขตร้อนเขียวชอุ่ม, Oceanfront Pool Villa แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 224 ตร.ม. ห้องพักริมทะเลอันแสนผ่อนคลาย, Kitalay Villa แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 628 ตร.ม. วิลล่าที่ออกแบบอย่างทันสมัยเน้นใช้วัสดุและสีจากธรรมชาติ ห้องนอนและพื้นที่นั่งเล่นแยกเป็นสัดส่วน พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวเพียงไม่กี่ก้าวจากชายหาด สามารถรองรับผู้เข้าพักกลุ่มใหญ่ในแบบส่วนตัวได้อีกด้วย สำหรับ ห้องสวีท มีจำนวน 9 ห้อง พื้นที่ห้องนอนและห้องนั่งเล่นแยกเป็นสัดส่วน มาพร้อมระเบียงขนาดใหญ่เชื่อมต่อกัน อาทิ ห้องสวีทเชื่อมต่อกับสระน้ำ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 115 ตร.ม. พร้อมทางเดินเชื่อมไปยังสระว่ายน้ำ, ห้องสวีทวิวทะเล แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 115 ตร.ม. ห้องพักในบรรยากาศธรรมชาติที่มอบวิวทะเลจากมุมสูง, ห้องสวีทสำหรับครอบครัว แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 173 ตร.ม. มีพื้นที่นั่งเล่นแบบเปิดโล่งพร้อมระเบียงส่วนตัว และ ห้องพัก Essential มีจำนวน 108 ห้อง ได้รับการออกแบบพื้นที่เปิดโล่งขนาดกว้างขวาง ประกอบด้วย ห้อง Essential วิวทะเล ขนาด 58 ตร.ม., ห้อง Essential สำหรับครอบครัว ขนาด 116 ตร.ม., ห้อง Essential วิวรีสอร์ต ขนาด 58 ตร.ม. และ ห้อง Essential วิวรีสอร์ตที่เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำ ขนาด 58 ตร.ม. ภายในห้องพักยังใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและเครื่องหอมของแบรนด์ HARNN ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ได้รับการรับรองจากประเทศอิตาลี และได้ออกแบบกลิ่นเฉพาะของรีสอร์ตแห่งนี้อีกด้วย นอกจากกลิ่นหอมสดชื่น ยังสบายตาด้วยการตกแต่งสีเอิร์ธโทนและสีขาว มอบความหรูหราคลาสสิกด้วยพื้นผิวหินอ่อนรับกับเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแท้ แม้แต่ลวดลายกระเบื้องบนพื้นห้องน้ำยังงดงามวิจิตร มาพร้อมอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่พิเศษ และสิ่งอำนวยความสะดวกเกรดพรีเมี่ยม โดยเฉพาะคนรักเสียงเพลงต่างถูกใจกับลำโพงเคลื่อนที่ ได้ชิลไปกับเพลย์ลิสต์ Spotify ทุกที่ทุกเวลา และอีกเสน่ห์ของคิมป์ตัน คีตาเล คือการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นศิลปะพื้นบ้าน มาสื่อสารผ่านงานดีไซน์โฉมใหม่ในหลายรูปแบบอย่างมีรสนิยม อาทิ ผ้าทอมัดย้อมนำมาตัดเย็บเป็นหมอนอิงสวยงาม เสื้อคลุมบาธโรบผ้าทอเนื้อนุ่มจากฝีมือช่างตัดเย็บท้องถิ่น ผ้าเช็ดมือปักลวดลาย ใส่หัวใจลงในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เรียกรอยยิ้ม และทุกห้องพักยังแวดล้อมไปด้วยภูมิทัศน์อันร่มรื่นของสวนสวยเขตร้อนเขียวสดชื่น ที่ได้รับการออกแบบแลนด์สเคปกลมกลืนไปกับธรรมชาติ พร้อมสระว่ายน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับ ให้ปล่อยใจปล่อยกายรีแลกซ์ได้ตลอดวัน ที่สุดอะเมซิ่งภายในรีสอร์ต จัดสัดส่วนเฉพาะสระว่ายรวมถึง 1,500 ตร.ม. ด้วย สระว่ายน้ำ มากถึง 25 สระ ด้วยกัน รวมถึงสระเด็ก โดยสระใหญ่ใจกลางรีสอร์ตมีขนาดมาตราฐานโอลิมปิกแห่งเดียวบนเกาะสมุย ไม่ว่าจะนักว่ายน้ำตัวยง หรือนักพักผ่อนที่มาใช้บริการสนุกสนานยกแก๊งครอบครัว ยิ่งทำให้สระแห่งนี้มีชีวิตชีวา และเมื่อมองในระดับสายตาเรียกว่ากลมกลืนไปกับวิวทะเลเลยทีเดียว นอกจากห้องพักที่สุดแสนสบายแล้ว อาหารและเครื่องดื่มเป็นอีกดีเอ็นเอของคิมป์ตัน จนเป็นที่ยอมรับจากนักเดินทางทั่วโลก ณ คิมป์ตัน คีตาเล สมุย แห่งนี้ มอบประสบการณ์แห่งสุนทรียรสด้วยการนำรสชาติอาหารอันคุ้นเคย ผสมผสานทั้งความเป็นตะวันออกและตะวันตกอย่างมีศิลปะ รังสรรค์อาหารจานพิเศษอันโอชะด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพสดใหม่ ให้ได้ดื่มด่ำรสชาติอันน่าจดจำที่พร้อมนำเสนอใน 5 ห้องอาหารและ 3 บาร์ต่างสไตล์ ภายใต้บรรยากาศแสนผ่อนคลายปลอดโปร่ง เริ่มจาก LANAI Bar & Lounge นิยามใหม่ของเลาจ์ที่เปรียบเสมือนห้องรับแขกและห้องหนังสือ ด้วยพื้นที่เชื่อมต่อจากล็อบบี้ที่ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง เปิดรับแสงธรรมชาติตั้งแต่เริ่มต้นวันยันค่ำคืน ผ่านฉากกั้นกระจกและหน้าต่างบานสูง เหมาะกับการเริ่มต้นวันสบายเอนกายจิบเครื่องดื่มแก้วโปรดพร้อมหนังสือดีๆ สักเล่ม กรุ่นกลิ่นหอมจากเมล็ดกาแฟอาราบิกาออร์แกนิก มีให้เลือกตั้งแต่ดริปคลาสสิก โคลด์บรูว ไปจนถึงเมนูกาแฟสุดสร้างสรรค์ ที่ได้รับการออกแบบโดยบาริสต้าผู้เชี่ยวชาญ เสิร์ฟทุกความต้องการของคอกาแฟในทุกช่วงเวลาของวัน แนะนำรับประทานคู่กับซิกเนเจอร์ครัวซ็องสดใหม่ หรือเติมพลังยามบ่ายกับชูโรส (Churros) สูตรเด็ด ยังมีเมนูอาหารทานเล่นมากมาย อย่าง Steak and Eggs, Super Green ที่ให้พลังงานและคุณค่าโภชนาการต่อร่างกาย และสำหรับผู้ชอบดื่มชาแนะนำ Single Origin ใบชาที่ถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือในชากลุ่ม Artisan คุณภาพเยี่ยม ก่อนแปลงโฉมเป็นบาร์สุดชิลยามค่ำคืน ให้ปล่อยใจปล่อยกายสบายๆ ใต้แสงไฟสลัว โรแมนติกและรู้สึกพิเศษไปกับบรรยากาศอันตื่นใจ ที่แฝงไว้ในทุกรายละเอียดของการตกแต่งอย่างมีสไตล์ ยิ่งขับให้สะดุดตากับโคมไฟเพดานดีไซน์โมเดิร์น เพลินตาไปกับเส้นสายไม้ไผ่และหวาย รวมถึงวัสดุธรรมชาติที่ได้รับการออกแบบมาอย่างลงตัวสอดรับกับคอนเซ็ปต์บาร์เปิด สัมผัสบรรยากาศโปร่งสบายในรีสอร์ตริมทะเล ที่มีทั้งมุมโซฟาสำหรับแก๊งก๊วนเพื่อนสนิท มุมโรแมนติกสำหรับคู่รัก และเคาว์เตอร์บาร์สำหรับเพิ่มลิสต์เพื่อนใหม่ แถมยังได้เพลิดเพลินไปกับลีลาของมิกโซโลจิสต์ที่รังสรรค์เมนูเครื่องดื่มเสิร์ฟความสดชื่นได้ตามความต้องการ เติมเต็มค่ำคืนแห่งสีสันด้วยเครื่องดื่มวิสกี้, จิน ที่มาพร้อมกับคราฟต์โทนิก, เหล้าท้องถิ่น หรือค็อกเทลซิกเนเจอร์ อย่าง เมนู Sloe Gin Pink Lady ที่ให้รสเปรี้ยวหอมหวานของทับทิมเกรนาดีนโฮมเมด หรือ Verde Marry มอบความเผ็ดร้อนเบาๆ ของพริกไทยได้รสชาติแปลกใหม่จากส่วนผสมของน้ำผักผลไม้ออร์แกนิกหลากชนิด รับประทานคู่กับอาหารอินเตอร์สแน็กฟู้ดสร้างสรรค์ที่มีรสชาติเฉพาะหลากเมนู ผสมผสานความเป็นตะวันตก ตะวันออก และอาหารไทย อย่าง Massaman Beef Bomba คร็อกเก้มันฝรั่งบดสไตล์สเปนสอดไส้แกงมัสมั่นเนื้อ, เมนู Laab Tuna Tartare ลาบทูน่ารสชาติจัดจ้านถึงเครื่องลาบหวานเนื้อทูน่าสด และอีกหลายเมนูพร้อมให้เลือกสรรตามความชอบ แล้วปล่อยใจให้ผ่อนคลายไปกับดนตรีแนวป๊อป แอนด์ โซล หรือจะแฮงเอาท์ด้วยมื้อเช้าจรดค่ำ ที่คาเฟ่สไตล์ไทยร่วมสมัย BOHO Thai Lifestyle Cafe ผ่อนคลายสบายๆ ภายใต้พื้นที่เปิดโล่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของสีสัน ผสานความเก๋ไก๋และความอาร์ตไว้ด้วยกันอย่างลงตัว พร้อมการตกแต่งในสไตล์เรโทรโชว์ศิลปะแอบสแตกอาร์ตสีสด และรูปวาดที่อินสไปร์มาจากทะเล เปิดโล่งรับอากาศบริสุทธิ์ผ่านหน้าต่างบานยาว และพื้นที่เชื่อมต่อกันเป็นตัวยู สามารถเลือกนั่งชิลได้ทั้งโซนซ้ายขวาหรือเอาท์ดอร์รับแสงธรรมชาติ ลิ้มลองอาหารเมนูถูกปากทั้งแบบตะวันตก อาหารไทย และอาหารท้องถิ่นจากเหนือจรดใต้หมุนเวียนเมนูเด็ด อย่าง น้ำพริกหนุ่มรสจัดจ้าน รับประทานกับหมูปิ้งและไส้อั่ว รวมไปถึงบุฟเฟ่ต์นานาชาติ และเมนูอะลาคาร์ทให้เลือกอิ่มได้ไม่อั้น พร้อมเครื่องดื่มต่างๆ และค็อกเทลที่ปรุงด้วยสมุนไพรเก็บสดใหม่ปลูกในโรงแรม ไม่ว่าจะเลือกพื้นที่ที่ให้บริการในร่มหรือกลางแจ้ง สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปด้วยได้เช่นกัน อีกห้องอาหาร Fish House Restaurant & Bar อาคารไม้ที่ได้รับการออกแบบให้สามารถเพลิดเพลินวิวธรรมชาติใกล้ชิดทะเล ผ่านบานหน้าต่างทรงสูงที่สามารถเปิดโล่งรับลมทะเลสดชื่น มอบประสบการณ์แสนพิเศษสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตชาวเลผ่านตัวบ้าน และการตกแต่งด้วยโคมไฟเพดานขนาดใหญ่ดีไซน์สะดุดตา ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องมือประมง ความสดใหม่ของวัตถุดิบส่งตรงจากทะเลแบบวันต่อวัน นำมารังสรรค์เป็นอาหารจานหลักในสไตล์อาหารสเปนผสมผสานไทยฟิวชั่น ผ่านประสบการณ์อันยาวนานของเชฟระดับห้องอาหารมิชลินสตาร์ เสิร์ฟเมนูอาหารสไตล์ Sharing Platter ด้วยคอนเซ็ปต์สนุกๆ ที่ต้องการให้ครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน ได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขเอนจอยกับการรับประทานอาหารร่วมกัน เปิดประสบการณ์แห่งรสชาติใหม่ๆ อย่าง Signature Cold Seafood Platters and Towers ทาวเวอร์ทะเลสดจุใจด้วยหอยนางรมตัวโต กุ้งและล็อบสเตอร์สดๆ ผสานกับรสชาติเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ เมนู The Black Paella ข้าวผัดสเปนพอร์ชั่นใหญ่นำดีหมึกทำเป็นซอสเพิ่มรสชาติ เสิร์ฟพร้อมปลาหมึกย่างทั้งตัวขนาดพอดีคำ ผัดกับพริก Piparras Peppers และซอส ali-oli เช่นเดียวกับเมนู Grilled Octopus with Rosemary Potato Confit หรือเมนู Gambas Ajillo กุ้งปรุงรสด้วยกระเทียม พาสลีย์สับละเอียด พร้อมพริกสับซ่อนความเผ็ดร้อน นอกจากนี้ยังมี Curry Crab Roll, Sea Bass Ceviche และของหวานอย่าง Char-Grilled Pineapple Sundae ปิดท้ายมื้อพิเศษ ทางด้านเครื่องดื่มค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากท้องทะเล อาทิ Tides & Waves เมนูค็อกเทลแนวรีเฟรชชิ่งด้วยส่วนผสมแมซเคิล น้ำมะนาวสด ตกแต่งด้วยผักชีและแตงกวา และ Anticipated Journey ที่โดดเด่นและแปลกใหม่ของวิสกี้ญี่ปุ่นอินฟิวส์ด้วยสาหร่าย พร้อมเติมรสชาติเฉพาะตัวด้วยน้ำแร่ท้องถิ่น, Beyond The Sea, The Sea Cucumber และยังมีอีกหลากหลายเมนูให้ได้ลิ้มลอง ณ บาร์เครื่องดื่มของ Fish House Restaurant & Bar แห่งนี้ ผ่อนคลายจิบค็อกเทลที่ SHADES Ocean Lounge and Pool Bar บาร์เล็กๆ ริมสระน้ำและชายหาด ที่เติมเต็มช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นมื้อไหนก็เสิร์ฟได้ในสระน้ำ พร้อมบริการนวดเท้าไปพร้อมๆ กับชิมรสชาติของไอศกรีมหวานเย็นชื่นใจ หรือนอนอาบแดดจิบมาการิต้าสักแก้ว ก่อนเติมความสดชื่นด้วยเครื่องดื่มสไตล์ทิกิจิบคู่กับอาหารทานเล่น อย่าง แซนวิช พิซซ่า จากนั้นค่อยปล่อยพลังเบาๆ กับเครื่องเล่นที่เตรียมไว้เอนเตอร์เทน อย่าง โต๊ะปิงปอง กิจกรรมชายหาด หรือออกลีลาสุดมันส์ไปตามจังหวะบีทดนตรีจากดีเจ อุ่นเครื่องก่อนไปจัดเต็มด้วยมื้อเย็น หรือจะเป็นเดทไนท์แสนโรแมนติก ทุกความต้องการเนรมิตให้คุณได้ที่นี่  HOM Baking Company เสิร์ฟเบเกอรี่อบสดใหม่ให้รสชาติละมุนชวนฝัน การได้มาเยือนคิมป์ตัน คีตาเล หากพลาดการลิ้มรสชาติเบเกอรี่ซิกเนเจอร์เหมือนมาไม่ถึง เรียกว่า "ครัวซองต์" เป็นเมนูขนมอบขึ้นชื่อความอร่อยล้ำฉ่ำเนย กรอบนอกนุ่มในและมีหลายรสชาติให้ลิ้มลอง อีกทั้งยังได้สนุกสนานรับความรู้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไปกับเวิร์กช็อปเบเกอรี่ และทำน้ำผลไม้สกัดเย็น พร้อมเมนูสุดสร้างสรรค์มากมายไปกับเชฟ อีกเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคิมป์ตัน คีตาเล ที่สรรสร้างโปรแกรมไลฟ์สไตล์ให้ผู้เข้าพักมีส่วนร่วมในวันสบาย ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกันอย่างมีคุณค่า และถือว่าเป็นอีกดีเอ็นเอที่มุ่งมั่นนำเสนอประสบการณ์แห่งความประทับใจให้เป็นที่น่าจดจำเสมอ เริ่มด้วย Morning Kickstart จิบกาแฟหรือชาอุ่นๆ สักแก้ว วอร์มร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เริ่มต้นเช้าของวันพักผ่อนที่สดใส ไปจนถึง กิจกรรม Kimpton’s Social Hour ช่วงเวลาพิเศษยามเย็นเอนจอยกับปาร์ตี้ค็อกเทล เปิดพื้นที่ในการพบปะสังสรรค์ทั้งเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ สำหรับโปรแกรมพิเศษ Kimpton Kitalay Samui’s Furry Guest Programme และ Pet Spa Day สำหรับเพื่อนซี้สี่ขาโดยเฉพาะ พร้อม คลาสเวิร์กช็อปสำหรับครอบครัวและเด็กน้อย อาทิ เวิร์กช็อปทำเบเกอรี่ ช็อกโกแลต ขนมหวาน, คลาสทำเครื่อมดื่มค็อกเทล,

By MercedesBenz

โกจิ คิทเช่น + บาร์ ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติชั้นนำของ โรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค เพิ่มความพิเศษในมื้อบุฟเฟ่ต์สุดสัปดาห์ ด้วยเมนูอาหารอิตาเลียนขึ้นชื่อจากแคว้นชื่อดังต่างๆ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ของประเทศอิตาลี ที่อยากชวนให้มาเปิดประสบการณ์แห่งสุนทรียรส ลิ้มลองอาหารนานาชาติรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ได้ตลอดปี 2565 เริ่มกันด้วย อาหารอิตาเลียนจากแคว้นซิซิลี ที่เชฟนำเสนอเมนูอิตาเลียนสไตล์ซิซิเลียน (Sicilian) แบบดั้งเดิม รังสรรค์ด้วยวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างยอดเยี่ยม ให้ได้เพลิดเพลินไปกับเมนูไฮไลท์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมนู สลัดบูราต้าแบบดั้งเดิม, เมนูข้าวทอดสไตล์อิตาเลียน, ปลากระโทงแทงดาบย่างเสิร์ฟพร้อมกับสตูว์ผักและเลมอนสด สำหรับท่านที่ชอบทานพาสต้า พลาดไม่ได้กับพาสต้าโฮมเมด อย่าง กัมเบโอ รอสโซ่ (ราวีโอลี่กุ้งแดงราดด้วยซอสกุ้งล็อบสเตอร์) และ พาสต้ามะเขือม่วงย่าง (Casarecce alla norma) คลุกเคล้ากับซอสเปเปอรอนซิโน่รสชาติเผ็ดเล็กน้อยและชีสนมแกะ นอกเหนือจากนี้ยังมีพิซซ่าหลากหลายท็อปปิ้ง เช่น พิซซ่าหน้าซาลามี่แบบเผ็ด หรือ พิซซ่าคาโปนาต้า สำหรับของหวานสามารถเลือกทานได้หลากหลาย เช่น ทีรามิสุ, ขนมแป้งทอดแคนโนลีแบบดั้งเดิม ที่ทำสดใหม่ทุกวัน และ เจลาโต้ ไอศกรีมอิตาเลียนแท้ๆ เสิร์ฟพร้อมกับบิสกิต และเติมเต็มความสุขในมื้ออาหารด้วยแพ็คเกจเครื่องดื่ม พิเศษ Bellini (เบลลินี) แบบไม่อั้นรวม ในราคาเพียง 990++ บาท ต่อท่าน เท่านั้น  โปรโมชั่นอาหารอิตาเลียนจากแคว้นซิซิลีนี้ ให้บริการเพิ่มเติมในไลน์บุฟเฟ่ต์อินเตอร์เนชั่นแนล ทุกวันศุกร์ - วันอาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม จนถึง 27 มีนาคม 2565  บุฟเฟ่ต์มื้อค่ำ วันศุกร์ – อาทิตย์ เวลา 17.30 - 22.00 น. ราคา 2,199++ ต่อท่าน  บุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน วันเสาร์ เวลา 11.30 – 14.30 น. ราคา 2,199++ ต่อท่าน  บุฟเฟ่ต์มื้อบรันซ์ วันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 14.30 น. ราคา 2,500++ ต่อท่าน  ▶️ สมาชิกแมริออท บอนวอยและคลับแมริออทรับส่วนลดตามสิทธิ์หน้าบัตร ☎️ สอบถามเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งโทร. 0 2059 5999 อีเมล restaurant-reservations.bkkqp@marriotthotels.com   หรือติดต่อผ่านช่องทาง 👇 🌐 เว็บไซต์ www.bangkokmarriottmarquisqueenspark.com 🌐 เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/GojiKitchenAndBar/  🌐 หรือเพิ่มเราเป็นเพื่อนในไลน์ @gojikitchenbar

By MercedesBenz

ทั้งๆ ที่ไม่ใช่อาหารแปลกใหม่อะไร แต่นาทีนี้ดูเหมือนจะไม่มีขนมอบชนิดไหนมาแรงเท่า “ครัวซองต์” ขนมอบที่โดดเด่นตั้งแต่รูปร่างหน้าตา ไปจนถึงกลิ่น รส และเนื้อสัมผัส ว่ากันว่า ในบรรดาขนมแป้งอบทั้งหลาย ครัวซองต์ คือสิ่งที่ทำยากที่สุด เพราะต้องรีดแป้งพับทบสลับกับชั้นเนย พับแล้วพับอีกตามสูตรออริจินัลคือ ให้ได้ 81 ชั้น โดยที่เนยต้องไม่ละลายปนกับแป้งขณะรีด เนยต้องละลายในขั้นตอนการอบเท่านั้น อุณหภูมิของสถานที่ที่ทำจึงควรอยู่ที่ประมาณ 18-20 องศาเซลเซียส ลืมการทำในอุณหภูมิห้องปกติอย่างเมืองไทยไปได้เลย เพราะเนยกับแป้งคงผสมกันจนกลายเป็นขนมปังสูตรอื่น การบ่มแป้งก่อนอบก็ห้ามพลาด ทั้งอุณหภูมิและเวลา อบสุกแล้วยังมีคนรอดูอีกว่า เนื้อในครัวซองต์เป็นโพรงสวยขนาดไหน เพราะนั่นหมายถึงความประณีตของคนรีดแป้ง จนมีเจ้าของสูตรครัวซองต์คนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ไม่มีวิธีใดที่จะซ่อนข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในกระบวนการทำงานของคุณเมื่อทำครัวซองต์” ครัวซองต์แต่ละชิ้นจึงต้องอาศัยความใจเย็น อดทน ประณีต ฝึกฝน และประสบการณ์ เราเคยจำกันว่า ครัวซองต์ คือขนมปังที่มีรูปร่างคล้ายจันทร์เสี้ยว (หรือบางคนแอบเรียกว่า ขนมปังเขาควาย) ตามความหมายตรงตัวของคำว่า Croissant ในภาษาฝรั่งเศส ที่แปลว่า 'จันทร์เสี้ยว' แต่ดูเหมือนครัวซองต์ที่เห็นๆ กันมากยุคนี้ จะไม่ได้มีหน้าตาอย่างนั้น บ้างก็ว่าขนมปังเขาควายหรือจันทร์เสี้ยวนั้น คือครัวซองต์ที่ใช้มาการีน หรือเรียกว่าครัวซองต์ธรรมชาติ (croissant nature) แต่ครัวซองต์ตัวอวบๆ ที่ขึ้นรูปเป็นทรงตรงๆ ปลายไม่งองุ้ม อย่างที่เห็นกันตอนนี้ ทำจากเนยสด (croissant au beurre) ซึ่งนุ่มกว่า หอมกว่า

By MercedesBenz

เมื่อเอ่ยถึงอาหารเพื่อสุขภาพ หรืออาหารของคนลดน้ำหนัก “แป้ง” ก็ดูจะกลายเป็นผู้ร้ายที่ใครๆ ก็พยายามลด ละ เลี่ยง คนที่ให้ความสนใจเรื่องอาหารการกินและสุขภาพส่วนใหญ่ จึงหันไปหาอาหารประเภทแป้งไม่ขัดสีจำพวกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า จนเมื่อมีกระแสการลดน้ำหนักแบบ คีโตเจนิก (Ketogenic diet) ที่จำกัดการกินแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตให้เหลือเพียงแค่ 5% ร่วมกับการจัดสรรสัดส่วนของสารอาหารอื่นๆ ทั้้งไขมันและโปรตีนอย่างเคร่งครัด “อาหารแบบคีโต” ก็เริ่มเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะ “ขนมปังไร้แป้ง” ที่เข้ามาเติมเต็มและเป็นทางเลือกใหม่ให้คนที่โหยหาขนมปัง   ขนมปังแห่งยุค ขนมปังทั่วไปทำจากแป้งสาลี ขนมปังไร้แป้ง แปลว่าไม่ใช้แป้ง แล้วจะใช้อะไรล่ะ วัตถุดิบหลักของขนมปังไร้แป้ง หรือที่มักเรียกกันว่า “ขนมปังคีโต” นั้นมีอยู่หลายชนิด ส่วนใหญ่จะเป็น อัลมอนด์ผง มะพร้าวผง โอ๊ตไฟเบอร์ (oat fiber) เมล็ดแฟลกซ์ป่น (flaxseed) ไซเลียมฮัสก์ (pysllium husk) และธัญพืชต่างๆ   อัลมอนด์ผง หรือแป้งอัลมอนด์ ก็คือเมล็ดอัลมอนด์บดละเอียดจนกลายเป็นผงแป้ง คุณค่าทางอาหารเหมือนการกินอัลมอนด์เป็นเมล็ดๆ อุดมด้วย วิตามินอี แมกนีเซียม โพแทสเซียม และไขมันดี มะพร้าวผง หรือแป้งมะพร้าว คือเนื้อมะพร้าวที่คั้นน้ำออกแล้ว และอาจสกัดน้ำมันออกด้วย แล้วผ่านกรรมวิธีต่างๆ จนกลายเป็นผงแป้ง ซึ่งจะยังคงมีกลิ่นหอม ยังมีกากใยหรือไฟเบอร์อยู่รวมทั้งยังคงมีสารอาหารอยู่ด้วย ทั้งโปรตีน ธาตุเหล็ก และกรดไขมันที่มีความยาวปานกลาง ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยลดน้ำหนัก   โอ๊ตไฟเบอร์ หรือเส้นใยข้าวโอ๊ต เป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ มีโปรตีน มีเบตากลูแคน (beta glucan) สารต้านอนมูลอิสระที่วงการแพทยย์ ยอมรับว่าช่วยเรื่องการดูแลรักษาสุุขภาพได้ และเชื่อว่าช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ทางอ้อม   เมล็ดแฟลกซ์ หรือ เมล็ดลินิน ชาวยุโรปนำมากินบำรุงกำลังมานาน มีกากใย มีฤทธิ์เป็นยาระบาย น้ำมันในเมล็ดแฟลกซ์เป็นไขมันดี มีโอเมก้า 3 และ 6 ขนมปังของคนยุโรปแทบทุกร้านต้องมีส่วนผสมของเมล็ดแฟลกซ์ การใส่เมล็ดแฟลกซ์ลงในส่วนผสมนอกจากเป็นการเพิ่มคุณค่าทางอาหารแล้ว ยังช่วยให้ขนมปังนุ่มหอมมัน และยืดอายุการเก็บรักษาให้ยาวนานขึ้นด้วย   ไซเลียมฮัสก์ หรือเทียนเกล็ดหอย คือเปลือกหุ้มเมล็ดของต้นไซเลียมหรือว่านเทียนเกล็ดหอย มีใยอาหารที่มีคุณสมบัติในการดักจับไขมันและน้ำดีในระบบทางเดินอาหาร และมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย   อิริ ทริทอล (erythritol) เป็นสารให้ความหวานที่มีรสชาติเหมือนน้ำตาลทรายมากที่สุด ไม่ให้พลังงาน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ ที่ได้จากกระบวนการหมักกลูโคสด้วยยีสต์ ปลอดภัยต่อระบบทางเดินอาหารมากกว่าไซลิทอล (xylitol) ซอร์บิทอล (sorbitol) เหล่านี้คือวัตถุดิบหลักๆ ที่มักนำมาใช้ทำขนมปัง ส่วนจะเติมไข่ เนย เกลือ และยีสต์ หรือไม่อย่างไรนั้น ก็แล้วแต่ว่าสูตรใครก็สูตรใคร   ไร้แป้ง ประโยชน์เพียบ แม้จะเรียกว่าขนมปังไร้แป้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปราศจากแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตอย่างสิ้นเชิง ขนมปังไร้แป้งยังคงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่เพียงแต่น้อยมาก และส่วนผสมที่นำมาทำขนมปังล้วนมีสารอาหารอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า ที่สำคัญคือ มุ่งเน้นในเรื่องให้พลังงานต่ำซึ่งขนมปังประเภทนี้ มักระบุอย่างชัดเจนว่า มีกี่แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน อย่างละกี่กรัม ตามวิถีของชนเผ่าคีโตหรือผู้ลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิก ที่ต้องชั่งตวงวัดปริมาณสารอาหารที่จะกินอย่างเคร่งครัด จึงกลายเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั่วไปด้วยเช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดของขนมปังไร้แป้งคือ ทำอย่างไรให้ได้รสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนขนมปังจริงๆ เพราะคนที่ชอบกินขนมปังโดยมากแล้ว คือหลงใหลในความนุ่มหอม และเนื้อสัมผัสที่หนุบหนับ ความจริงแล้ว เมื่อขนมปังไม่ได้ทำจากแป้งสาลี ก็คงไม่อาจให้เนื้อสัมผัสแบบเดียวกันเป๊ะๆ อย่างขนมปังทั่วไปที่คุ้นเคย นั่นคือโจทย์ใหญ่ที่ผู้ผลิตต่างคิดค้น ทดลอง จนมั่นใจว่า ได้ขนมปังที่มีความนุ่ม หอมไม่ต่างจากขนมปัง ส่วนเนื้อสัมผัสที่พบส่วนใหญ่ จะเหนียวกว่าขนมปังธรรมดาเล็กน้อย และนี่คือแบรนด์ขนมปังไร้แป้งที่ได้รับการพิสูจน์มาจากผู้บริโภคมากมายแล้วว่า แทบไม่ต่างจากขนมปังแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย ----------🍞----------   Dancing With A Baker ผู้ผลิตขนมปังไร้แป้งเจ้าแรกๆ ของไทย เปิดขายมาราวๆ ปีเศษ เริ่มต้นจากกำลังผลิตขนมปังเพียง 4 ชิ้นต่อวัน จนปัจจุบัน รับยอดสั่งซื้อวันละกว่า 100 ออร์เดอร์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของแดนซิง วิธ อะ เบกเกอร์ หลักๆ มี 3 ชนิด ตั้งชื่ออย่างน่ารักว่า น้องเหลี่ยม น้องกลม และ น้องเลิฟ “น้องเหลี่ยม” และ “น้องกลม” เป็นขนมปังแผ่นแบนๆ ใหญ่ๆ รูปร่างสี่เหลี่ยมและกลมๆ ตามชื่อทำจากผงอัลมอนด์ ผงมะพร้าว เมล็ดแฟลกซ์ เนยจืด วีตโปรตีน ไข่ไก่ เกลือหิมาลายัน อิริทริทอล น้ำมันมะกอก และยีสต์ ชิ้นขนาด 150 กรัม มีคาร์โบไฮเดรต 4 กรัม ไฟเบอร์ 12 กรัม โปรตีน 39 กรัม ไขมัน 18 กรัม ให้พลังงาน 378 แคลอรีต่อชิ้น ซึ่งขนมปังหนึ่งชิ้นขนาดใหญ่เท่าสมุด แบ่งกินได้ 2-3 ครั้ง “น้องเลิฟ” ทำจากโอ๊ตไฟเบอร์เป็นหลัก เป็นสูตรล่าสุดที่พัฒนาขึ้นจนคล้ายขนมปังปกติได้มากที่สุด รูปร่างหน้าตาเหมือนขนมปังที่ใช้ทำฮอตด็อก ชิ้นขนาด 70 กรัม มีคาร์โบไฮเดรต 2 กรัม ไฟเบอร์ 10 โปรตีน 19 และไขมัน 7 กรัม ให้พลังงาน 150 แคลอรี และสื่งที่น่าสนใจคือบรรดาลูกค้าของแดนซิง วิธ อะ เบกเกอร์  นำขนมปังไปสร้างสรรค์กันอย่างสุดอลังการ ทำให้มีรสชาติที่หลากหลาย ลืมคำว่าน่าเบื่อของอาหารเพื่อสุขภาพไปได้เลย   แดนซิง วิธ อะ เบกเกอร์ มีวางขายตามร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพหลายแห่ง และช่องทางออนไลน์ www.dancingwithabaker.com หรือเฟซบุ๊ก dancingwithabaker ----------🍞----------   Pung Pae Ver ปังเป๊ะเวอร์ เรียกตัวเองง่ายๆ ว่าเป็น "ขนมปังคีโต” เป็นขนมปังแบบมีไส้ ทั้งคาวหวาน ตัวขนมปังหรือบันทำจากผงอัลมอนด์  ไข่ไก่ ไซเลี่ยมฮัสก์ และงาขี้ม่อน ใช้อิริทริทอลให้ความหวาน ไม่ใส่ยีสต์ ไม่ใช้ผงฟู ไม่มีไขมันทรานส์ และไม่มีกลูเต็น เปิดขายมาแล้วปีเศษและยังคงสร้างสรรค์รายการขนมปังใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ความโดดเด่นของปังเป๊ะเวอร์ คือมีไส้ให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ไส้พื้นฐานอย่าง สังขยา ไข่เค็มลาวา ไก่พริกเผา ไปจนถึง ไส้ไก่แบบข้าวมันไก่ แกงกะหรี่ไก่ กราแตงกุ้ง แซลมอนไข่เค็ม เป็นต้น ขนมปังแต่ละรสชาติให้พลังงานไม่เท่ากัน เช่น ขนมปังเนยโฉดยอดฮิต ครีมเนยแน่นๆ 1 ชิ้น 161 แคลอรี คาร์โบไฮเดรต 2 กรัม ไส้ที่แคลอรีสูงสุด เห็นจะเป็น ไข่เค็มลาวา 1 ชิ้น 213 แคลอรี คาร์โบไฮเดรต 3.3 กรัม ส่วนที่แคลอรีต่ำสุดๆ คือ พิซซาไก่ชีส เพียง 78 แคลอรี คาร์โบไฮเดรต 2.5 กรัม ฯลฯ เลือกพิจารณากันได้ตามอัธยาศัย ขนมปังของปังเป๊ะเวอร์มีวางขายตามร้านอาหารเพื่อสุขภาพ และทางออนไลน์ที่ www.pungpaever.com หรือเฟซบุ๊ก pungpaever ----------🍞----------   Club No Sugar คลับ โน ชู การ์ ไม่ใช่แบรนด์ขนมปัง แต่คือร้านอาหารแนวใหม่ที่มีอาหารแบบคีโตเจนิกให้บริการอย่างเต็มอิ่ม มีครัวปรุงอาหารคีโตโดยเฉพาะ แยกจากครัวที่ปรุงอาหารปกติทั่วไป รายการอาหารคีโตที่น่าสนใจมีมากมาย เช่น ข้าวดอกกะหล่ำผัดไข่ ข้าวบุกผัดกุนเชียง สปาเกตตีไส้อั่วซอสกะเพรา พิซซาหน้าไข่เค็ม บันเบอร์เกอร์ รวมถึงขนมหวานทั้งขนมไทย ขนมเค้ก ขนมปัง มัฟฟิน เบเกอรีคีโตนานาชนิด ขนมไหว้พระจันทร์แบบคีโตก็มี ที่นี่ยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่รวบรวมอาหาร ขนม และวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารคีโตเจนิกไว้อย่างครบครัน ความจริงแล้วอาหารแบบคีโตเจนิก คนทั่วไปก็สามารถรับประทานได้ โดยเฉพาะอาหารที่ไม่มีแป้ง ไม่มีน้ำตาล เพียงแต่ควรระวังอาหารที่มีสัดส่วนไขมันสูง อย่างไรก็ตาม ที่ คลับ โน ชูการ์ ก็มีรายการอาหารปกติทั่วไปให้บริการด้วย Club No Sugar ถนนพระราม 3 (ระหว่างซอยพระรามสาม 39-41) โทร. 06 3146 8224 สาขาเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา โทร. 06 3883 8111 เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00 - 22.00 น. สั่งอาหารผ่านไลน์ ID: @CLUBNOSUGAR เฟซบุ๊ก: Club No Sugar ----------🍞----------   I Bake You Take ขนมปังเพื่อสุขภาพอีกหนึ่งแบรนด์ที่คนเป็นเบาหวานกินได้ ชนเผ่าคีโตกินดี เป็นขนมปังเปล่าๆ แบบขนมปังปอนด์ หลักๆ มีให้เลือก 3 แบบคือ “Yeast bread” ทำจากเมล็ดแฟลกซ์ป่น ผงอัลมอนด์ โอ๊ตไฟเบอร์ ใส่ไข่ เนย และมีกลูเตน ให้พลังงาน 78 แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 1.3 กรัม ไขมัน 4 กรัม โปรตีน 8.3 กรัม, “Nut and seed bread” ทำจากโอ๊ตไฟเบอร์ มีส่วนผสมของเมล็ดแฟลกซ์ป่น เมล็ดเชีย งาขาว งาดำ เมล็ดฟักทอง อัลมอนด์สไลซ์ ใส่เนย ไข่ และมีกลูเตน ให้พลังงาน 89 แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 2 กรัม ไขมัน 4.7 กรัม โปรตีน 8.8 กรัม, “Keto soft buns” ขนมปังก้อนกลม ทำจากผงอัลมอนด์ ผงมะพร้าว ไซเลียมฮัสก์ ใส่ไข่ขาว เกลือหิมาลายัน ใช้เนยแท้ ไม่มีกลูเตน ให้พลังงาน 188 แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 2 กรัม ไขมัน 15.6 และโปรตีน 7.6 กรัม ซึ่งขนมปังของ ไอเบกยูเทกหอม นุ่มนิ่ม ให้รสสัมผัสคล้ายขนมปังปกติมากๆ นอกจากนี้ ยังมีแยมสตรอเบอรีโฮมเมดผสมเมล็ดเชียไม่ใส่น้ำตาล และชีสเค้กหน้าไหม้ Keto Basque burnt cheese cake ไม่มีแป้ง ไม่มีน้ำตาล ที่ทำสดใหม่ โดยสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ที่เฟซบุ๊ก www.facebook.com/OranaiIBYT ----------🍞----------   ที่มา: Mercedes ME Magazine 03/2020

By MercedesBenz

เนื่องในโอกาสครบรอบ 13 ปี นิตยสารอะราวด์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ นิตยสารอะราวด์ (AROUND Magazine) นำโดย คุณสุพรทิพย์ พงศาชำนาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Card Business, คุณยุพดี ชัยฉัตรพรสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจบัตรเครดิต ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และคุณอมรินทร์ คชรัตน์ กรรมการบริษัท ไลฟ์สไตล์ แอนด์ ทราเวล มีเดีย จำกัด จัดกิจกรรมเพื่อระดมทุน มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาท) ร่วมสนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมี รศ.นพ.วิชัย ประสาทฤทธา อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้รับมอบเมื่อเร็ว ๆ นี้

By MercedesBenz

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) แถลงผลการดำเนินงานในปี 2565 พร้อมแสดงวิสัยทัศน์และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 โดยในระดับโลก เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีอัตราการเติบโตของยอดขายกว่า 15% จากปีที่ผ่านมา กวาดยอดขายรถในกลุ่ม Passenger Cars กว่า 2,043,900 คันทั่วโลก พร้อมโชว์ตัวเลขการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่สูงถึง 124% ด้วยยอดขายกว่า 117,800 คัน โดยมีรุ่นที่ขายดีเป็นอันดับต้น ๆ อย่าง EQA และ EQB ในด้านของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เติบโตถึง 34% ด้วยยอดจดทะเบียนสะสม 13,182 คัน ในปีที่ผ่านมา ยอดขายรถในเซกเมนต์ Dream Cars โตขึ้น 28% จากยอดขาย CLS และ C-Coupe ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนรถเซกเมนต์ Contemporary Luxury อย่าง The new C-Class E-Class และ S-Class โตขึ้น 12% ตามด้วยรถ Top-end Luxury อย่าง Mercedes-Maybach ตัวเลขยอดขายโตขึ้นกว่า 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของ ประธานบริหารคนใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย “มร. มาร์ทิน ชเวงค์” ที่ได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” กับความมุ่งมั่นในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยซึ่งสะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการให้ความสำคัญเกี่ยวกับแผนงานด้าน ความยั่งยืน (Sustainability) การนำเสนอรถยนต์ที่ใช้ พลังงานไฟฟ้า (Electrification) การนำเสนอ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) และการมอบ ประสบการณ์แบบลักชัวรี่ (Luxury Experience) ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยไฮไลท์สำคัญของปีนี้ คือการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ลงตลาดประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line รถเอสยูวีไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ผสานความหรูหราและความสะดวกสบายในทุกมิติ ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พร้อมเดินทางในทุกเส้นทางด้วยการขับขี่ที่ไร้มลพิษ (Zero-emission) ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่แรงดันสูง วิ่งได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ผลิตและนำเข้าแบบ CBU พร้อมเปิดราคาจำหน่ายที่ 3,020,000 บาท  มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประสบความสำเร็จทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ที่สะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ ทั้งในเรื่องของ ความยั่งยืน (Sustainability) สู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2582 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 รวมถึงนโยบาย 30@30 ของบอร์ดอีวี ที่จะขยายสัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศ ให้เป็น 30% ภายในปี 2572 ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์เองก็ตั้งเป้าหมายในการทำให้รถทุกรุ่นที่อยู่ในพอร์ตของเรา เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายในปี 2572 เช่นกัน" "และสิ่งสำคัญในการทำให้เราบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน คือการนำเสนอรถยนต์ที่ใช้ พลังงานไฟฟ้า (Electrification) ให้กับผู้บริโภคในระดับโลก เราได้นำเสนอ VISION EQXX รถยนต์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ผ่านการทดสอบการขับขี่ในสภาพแวดล้อมจริง ด้วยระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มเพียงหนึ่งครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าเราได้นำยนตรกรรมแห่งอนาคตมานำเสนอให้ทุกคนแล้วในวันนี้ โดยในประเทศไทย เรามีการเปิดตัว EQS 500 4MATIC AMG Premium ที่ถือเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้ามากที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางกว่า 702 กิโลเมตร ต่อจากชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของยนตรกรรมระดับโลกนี้ได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวยนตกรรมในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด อย่าง C 350 e AMG Dynamic ที่เป็นรถ PHEV ในระดับลักชัวรี่ ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางเกินกว่า 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง" "และในปีนี้เราได้วางแผนในการขยาย EV Portfolio ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line หนึ่งในรถภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่ขายดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก รวมถึงการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านการร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าชั้นนำ ในประเทศไทย"     "เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งมั่นในการนำเสนอ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เราพร้อมมอบประสบการณ์ทีเหนือระดับในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอนวัตกรรมอย่าง จอแสดงผลแบบ Hyperscreen ระบบ MBUX เจเนเรชั่นใหม่ ระบบไฟหน้า Digital Light แบบ Ultra high range beam ที่ส่องสว่างได้ไกลมากกว่า 600 เมตร และแพ็กเกจระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistance package) รวมถึงระบบลดวงเลี้ยวรถยนต์ (Rear Axle Steering) และนอกเหนือจากประสบการณ์ที่ทุกคนจะได้สัมผัสผ่านยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์แล้ว การมอบ ประสบการณ์แบบลักชัวรี่ (Luxury Experience) ให้กับลูกค้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ โดยเรามีการสร้างการสื่อสารทั้งภายนอกและภายในองค์กร ในการประสานการทำงานเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า คนในองค์กรและพาร์ทเนอร์ของเราจะสามารถมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและสอดแทรกความเป็นแบรนด์ลักชัวรี่ในทุกมิติ ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้กับลูกค้าคนพิเศษของเราทุกคนอย่างไร้ที่ติ” มร. บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้นำมาปรับใช้ในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสารในรูปแบบใหม่ เริ่มจากการเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ของการจัดแสดงรถยนต์ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 โดยในปีนี้เราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการนำเสนอยุคใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผ่านการจัดแสดงรถยนต์บนพื้นที่ใหม่ ที่บูธหมายเลข A19 บริเวณฮอล์ 1 ของอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ซึ่งมีการสร้างการรับรู้ให้สาธารณะผ่านแคมเปญการสื่อสารทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยความพิเศษของบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปีนี้ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาในบูธของเราไปจนถึงขั้นตอนที่ลูกค้าตัดสินใจเป็นเจ้าของยนตกรรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ นอกจากนี้ ภายในบูธจะถูกแบ่งโซนในการจัดแสดงรถยนต์ ซึ่งมีให้ชมครบทุกรุ่นตั้งแต่รถยนต์ในแบรนด์ Mercedes-Benz ในกลุ่มของรถ ICE และ PHEV รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ รถยนต์สมรรถนะสูงในกลุ่ม Mercedes-AMG รถยนต์ระดับ Top-End Luxury อย่าง Mercedes-Maybach พร้อมด้วยยนตรกรรมระดับตำนานอย่าง SL และ G-Class ซึ่งคนไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 หรือที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย” นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหาร ฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับในส่วนงานของฝ่ายบริการลูกค้า เราได้เตรียมพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิตัลใหม่ ๆ ใน Mercedes Me Store ที่ลูกค้าสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ตามความต้องการเช่น Rear Axle Steering ที่เป็นการลดวงเลี้ยวรถยนต์ เพื่อการควบคุมรถได้ง่ายยิ่งขึ้น Active Distance Assistance Distronic ระบบควบคุมระยะห่างของรถยนต์ขณะขับขี่ หรือ Individualization ที่เป็นการเพิ่มความบันเทิงในรูปแบบเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกบรรยากาศภายในรถทั้งเสียงและภาพที่แสดงบนหน้าจอหรือมินิเกมส์ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ ในปีนี้จะมีการนำเสนอระบบการจ่ายเงินค่าบริการผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกสถานะของรถ เมื่อนำรถเข้ารับบริการเพิ่มเติมจากบริการระบบออนไลน์เดิม ที่มีในส่วนของการนัดหมายเข้ารับบริการและแจ้งสถานะของรถขณะกำลังเข้ารับบริการ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังมีบริการผู้ช่วยส่วนตัวด้วยการส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อรถถึงระยะเข้ารับบริการหรือตรวจเช็กระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่หรือระบบเบรก รวมถึงข้อเสนอพิเศษและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะ และในส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่แท้ อะไหล่ StarParts หรือ REMAN สำหรับรถยนต์ที่หมดระยะรับประกัน ผลิตภัณฑ์ยางที่ได้รับการรับรองจาก Mercedes-Benz MO/MOE รวมถึงการบริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และโปรแกรม MBSP แบบต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกความต้องการตามการใช้งานของลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดและคงประสิทธิภาพสูงสุดตลอดการใช้งานรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย” “แน่นอนว่าอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของเรา คือการสร้างยอดขายที่เติบโตในประเทศไทย ในปีนี้เราคาดหวังตัวเลขการเติบโตแบบ Double-Digit ผ่านการนำเสนอรถยนต์ทั้งหมด 8 รุ่น โดยหนึ่งในนั้นคือรถเอสยูวีไฟฟ้า EQB 250 AMG Line ที่เปิดตัวในวันนี้ ทั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมที่เหนือระดับที่มาพร้อมการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย” มร. มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าวสรุป  

By MercedesBenz

เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ที่หลักสูตร BASIS Curriculum ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องว่าเป็นหลักสูตรที่ดีที่สุดทั้งในระดับชาติและระดับสากล เป็นโปรแกรมด้านวิชาการที่เลื่องลือ หลอมรวมแนวคิดและเนื้อหาที่เข้มข้น เข้ากับจิตวิญญาณและความคิดสร้างสรรค์ของการศึกษาแบบอเมริกัน ปูแนวทางการวิเคราะห์เหตุและผลที่ส่งเสริมความสำเร็จให้แก่เด็กนักเรียน และจากรายงานการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่านักเรียนของเบซิส มีผลงานดีกว่านักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติชั้นนำหลายแห่ง จึงเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก ที่ เบซิส กรุงเทพฯ (BASIS International School Bangkok) เป็นโรงเรียนนานาชาติมาตราฐานระดับโลก ลำดับที่ 35 สาขาแรกในประเทศไทยและอาเซียน หนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนเบซิสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา จนเป็นที่ยอมรับในมาตราฐานระดับโกลด์ โดยเริ่มระดับชั้นการศึกษาที่เตรียมอนุบาล Pre K 1 จนจบสมบูรณ์ที่ Grade 12 นับเป็นหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพอันแท้จริงของนักเรียนแต่ละคน ด้วยความเชื่อที่ว่าเด็กนักเรียนทุกคนสามารถก้าวไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จในแบบของตนเอง พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างเหมาะสม เพราะแรงบันดาลใจคือพื้นฐานสำคัญของการศึกษานั่นเอง นอกจากหลักสูตรที่เป็นเลิศแล้ว เบซิส กรุงเทพฯ ยังให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่สนุกสนานอีกด้วย การบูรณาการหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย ด้วยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นไทย นำเอาเอกลักษณ์ของภาษาไทย ศิลปะ วัฒนธรรมไทย มาเป็นส่วนสำคัญในการปลูกฝังพื้นฐานความเป็นไทย ควบคู่ไปกับหลักสูตรการเรียนการสอนแบบสากลในทุกระดับชั้น ทำให้โรงเรียนนานาชาติแห่งนี้มีความแตกต่างอย่างมีความหมาย ในพื้นที่อันเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และไม่น่าแปลกใจที่ เบซิส กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ ไปแล้ว ความโดดเด่นรอบด้านของเบซิส กรุงเทพฯ นอกจากนวัตกรรมการศึกษาที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานแล้ว ยังให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบอาคารต่าง ๆ ของโรงเรียนตามมาตรฐานอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา ด้วยคำนึงถึงหัวใจของการมีสุขภาพดีทั้งกายและใจควบคู่ไปกับการเรียนที่สนุกสนาน พร้อมปลูกจิตสำนึกเรื่องการรักษ์สิ่งแวดล้อม บนพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่นผืนใหญ่ในย่านพระราม 2 อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ ที่อาคารทั้งหลังติดตั้งระบบอากาศแบบเติมอากาศจากภายนอก เพื่อให้มั่นใจได้ว่านักเรียนและคณาจารย์ได้รับอากาศที่สะอาด บริสุทธิ์ และปลอดภัย โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ พร้อมแล้ว ที่จะเปิดบ้านครั้งใหม่ ใน กิจกรรม Open House ให้เข้าเยี่ยมชมสถานที่และสัมผัสประสบการณ์ที่ทำให้ไขข้อสงสัยที่ว่า ทำไมเด็กนักเรียนเบซิสจึงอยากมาเรียนในทุก ๆ วัน และรักการเรียนรู้อยู่เสมอ อีกทั้งยังได้สัมผัสกับบรรยากาศการเรียนการสอนจริง ในห้องเรียนที่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อันทันสมัย ประกอบด้วยครูผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญ 2 ท่าน (SET&LET)  โดยครู SET จะเป็นครูชำนาญการสอนความรู้เชิงลึก (Subject Expert Teacher) ในสาขาวิชาต่าง ๆ และครู LET จะเป็นครูผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning Expert Teacher) ในการพัฒนาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ และหลักสูตรที่มุ้งเน้นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต 📍 กิจกรรม Open House ครั้งใหม่ จัดขึ้นภายในวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566  🕘 เวลา 09.00 - 11.30 น. 📲 ลงทะเบียนเข้างาน : https://booking.readyplanet.com/b/ugvil8fq/4862 ☎️ สอบถามเพิ่มเติม: โทร. 0 2415 0099 📧 Email: admissions@basis.ac.th 🌐 LINE: @BASISAdmissions  

By MercedesBenz

MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า กำลังเร่งเครื่องการก่อสร้างพื้นที่ส่วน 'ทาวน์ เซ็นเตอร์' ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม. 7 ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลยกย่องมากมาย และเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มูลค่า 125,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจาก ทาวน์ เซ็นเตอร์ แล้ว ในพื้นที่ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายแบรนด์ โรงแรม พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงป่าพื้นที่ 30 ไร่ ด้วย    ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 46 ไร่ โดย MQDC ได้ทุ่มเงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท ในการพัฒนาส่วนแรกของ ทาวน์ เซ็นเตอร์ ซึ่งมีกำหนดที่จะเปิดก่อนสิ้นปี 2566  นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า “ทาวน์ เซ็นเตอร์ เป็นแนวคิดใหม่ที่พัฒนาในสเกลที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญก้าวใหม่ ในการวางแผนพัฒนาสังคมแห่งสุขภาพที่ดีและความสุข โดย ทาวน์ เซ็นเตอร์ เป็นแก่นสำคัญของโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่ทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชนแห่งนี้ และนำพาครอบครัวให้มาอยู่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงออกแบบพื้นที่ส่วนนี้ให้เป็นที่ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวจากทุกเจเนอเรชั่น จะสามารถมาทำกิจกรรมที่ตอบโจทย์ชีวิต การพักผ่อนหย่อนใจ และความบันเทิง ตามที่ตัวเองต้องการได้ นอกจากนั้น เรายังได้สร้างสรรค์ให้พื้นที่ส่วนนี้ ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้คนได้มามีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมประจำวัน หรือกิจกรรมทางสังคม และกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจะมาเดินเล่นเฉย ๆ ก็ได้”    “ทาวน์ เซ็นเตอร์ ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ตามแบบฉบับของการเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของเมืองในยุคใหม่ที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา มีการวางผังต่าง ๆ อย่างดี และจะได้รับการดูแลรักษาในระดับมาตรฐานเดียวกันกับเมืองล้ำ ๆ ตามที่ต่าง ๆ ในโลก รวมทั้งได้เพิ่มความพิเศษอย่างมากเข้าไปด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่ร่มรื่นและสดชื่น องค์ประกอบส่วนภายในอาคารและภายนอกอาคาร ได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อกันอย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ทั้งยังใกล้กับผืนป่าขนาด 30 ไร่ ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ ในระยะเดินเพียงสั้น ๆ” นางสาวอรดา เกิดหงษ์ ประธานผู้อำนวยการ – Storied Place Management, MQDC เปิดเผยว่า “ทาวน์ เซ็นเตอร์ ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลายเป็นอย่างมาก เป็นทาวน์ เซ็นเตอร์ อย่างแท้จริง ที่มีความผสมผสาน แต่ก็เป็นสัดเป็นส่วนและมีประสบการณ์ที่น่าค้นหา และรู้สึกเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา”   นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกิจกรรมประจำวันแล้ว ยังมีพื้นที่มาร์เก็ตให้ได้จับจ่ายใช้สอยอยู่อีกมากมายหลายจุด รวมไปถึงธีมมาร์เก็ตฮอลล์ ลานกิจกรรม และขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกีฬา และการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงพื้นที่สำหรับการศึกษาเรียนรู้และความบันเทิง พื้นที่เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต โคเวิร์คกิ้ง สเปซ ตลอดจนแอมฟิเธียเตอร์สำหรับจัดกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ     นางสาวอรดา กล่าวต่อไปว่า “เพื่อให้เป็น ทาวน์ เซ็นเตอร์ อย่างแท้จริง เราได้เน้นเป็นอย่างมากกับการสร้างสรรค์สถานที่แฮงค์เอาท์หลากหลายรูปแบบ พร้อมเมนูอาหารและทางเลือกในการดื่มกินแบบต่าง ๆ ตอบโจทย์ทุกสไตล์ และหลากหลายราคา” “ในบรรดาพื้นที่ที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เป็นส่วนแรก ๆ ได้แก่ โรงละครอเนกประสงค์ภายในอาคาร ซึ่งสามารถใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงต่าง ๆ ได้ รวมถึงจัดแสดงงานศิลปะ งานแสดงสินค้า นิทรรศการ การประชุม และงานแต่งงาน รวมทั้งให้ผู้อยู่อาศัยในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ใช้เป็นเวทีจัดแสดงละครเองได้ด้วย นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของการออกแบบพื้นที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในรูปแบบที่เอื้อให้สังคมในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้ใกล้ชิดสนิทกัน” นางสาวอรดา กล่าว    “และสิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ไม่ว่าคุณจะแวะมาทำอะไรก็ตามที่ ทาวน์ เซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยง ทาวน์ เซ็นเตอร์ จะเป็นที่ที่คุณได้เติมพลังชีวิต ด้วยการพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางพื้นที่สีเขียวที่เงียบสงบ หรือบรรยากาศที่น่าตื่นเต้น ทุกประสบการณ์สามารถพบได้ที่นี่” ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัย ภายใต้แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า” ซึ่งนำเสนอบ้านในรูปแบบคลัสเตอร์โฮม ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวเดียวกันจากหลายเจเนอเรชั่น ได้อยู่อาศัยในบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน สามารถใช้เวลาร่วมกันได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวในบ้านแยกหลังของตัวเอง ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีการใช้ชีวิตของครอบครัวไทยดั้งเดิมนั่นเอง   บ้านเดี่ยวในโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่ามีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร จนถึงประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ประมาณ 185 ล้านบาท ไปจนถึง 310 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คอนโดมิเนียม ซึ่งออกแบบภายใต้แนวคิดคล้าย ๆ กัน โดยมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 63 ตารางเมตร ไปจนถึง 1,027 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท   วิลล่าอื่น ๆ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างในพื้นที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ได้แก่ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ที่สุดหรูหรา ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นในประเทศไทย ส่วนโครงการที่พักอาศัยอื่น ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ วิสซ์ดอม จำนวน 3 อาคาร ซึ่งออกแบบเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มทำงาน คู่สมรสใหม่ที่เริ่มสร้างครอบครัว และมีหนึ่งอาคารที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 35 ตารางเมตร ไปจนถึง 205 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ดิ แอสเพนทรี และ สกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต   เดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ถือเป็นโครงการต้นแบบระดับโลกแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง รวมทั้งเป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลก ที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ตัวโครงการได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จนถึงขณะนี้โครงการได้รับรางวัลจากทั่วโลกแล้วมากกว่า 42 รางวัล ซึ่งรับรองความโดดเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นในการอยู่อาศัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน อาทิ รางวัล Gold Award for Urban Design และรางวัล Silver Award for Sustainable Living and Green Design ซึ่งมอบให้โดยสถาบัน International Design Awards (IDA) อันทรงเกียรติ, รางวัล Platinum Award สาขาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจากเวที Outstanding Property Awards London อีกทั้งได้รับเลือกให้ได้รับรางวัล Global Settlements Award ด้านการวางแผนและออกแบบจาก Global Forum on Human Settlements และรางวัลจาก International Federation of Landscape Architects    จนถึงขณะนี้ โครงการที่พักอาศัยแบรนด์ต่าง ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ มียอดขายรวมกันเกินกว่า 22,000 ล้านบาท ☎️ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ Call Center 1265 หรือ https://mqdc.com/th/our-business/theme-project/theforestias

By MercedesBenz

ยอดขายโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ล่าสุดแตะ 22,000 ล้านบาท วันนี้ MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมแล้วที่จะเปิดวิลล่าหลังแรกของโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้!  ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงแนวคิดใหม่ในการออกแบบบ้าน ที่หลายวิลล่าถูกเชื่อมต่อถึงกัน เพื่อให้ครอบครัวขยายที่ประกอบไปด้วยสมาชิกหลายเจเนอเรชั่นสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยการอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวของตัวเอง มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวที่ออกแบบโดย Foster + Partners โดยแต่ละวิลล่ามีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 - 1,700 ตารางเมตร มี 3 ขนาด ตั้งแต่ 4 - 6 ห้องนอน ตั้งกระจายตัวอยู่บนที่ดินพื้นที่ 26 ไร่ ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูส ขนาด 398 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นายชาคริต หัสสรังสี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแบรนด์ระดับลักชัวรี่ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง โครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ กล่าวว่า “นี่เป็นแนวคิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของครอบครัวคนไทย ที่หลายเจเนอเรชั่นในครอบครัวเดียวกัน มักจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่ด้วยความจำเป็นของวิถีชีวิตคนเมืองสมัยใหม่ ทำให้การใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็นมา กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อย ๆ มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า จึงมุ่งช่วยส่งเสริมให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ซึ่งแนวคิดนี้ ได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดี และตอนนี้ทางโครงการพร้อมแล้ว ที่จะเชิญครอบครัวที่สนใจเข้าชมบ้านจริงได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป”   นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “มัลเบอรี่ โกรฟ มีแนวคิดที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในอาณาบริเวณที่ใกล้ชิดติดกับพ่อแม่ หรือลูกที่โตแล้ว หรือทั้งสองอย่าง ยังจะช่วยทำให้เจ้าของบ้านมี ‘โบนัสเวลา’ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวที่เพิ่มขึ้น โดยทุกเจเนอเรชั่นซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่ออกแบบเหมาะกับความต้องการของตัวเอง จะสามารถไปมาหาสู่กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวได้โดยการเดินไปหาเพียงไม่กี่นาที ครอบครัวจะสามารถช่วยกันเลี้ยงเด็ก ๆ ได้ รวมทั้งช่วยกันดูแลพ่อแม่ที่อายุมากแล้วได้สะดวกสบายมากขึ้น และไม่จำกัดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เป็นการประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างบ้าน ซึ่งจะทำให้ครอบครัวมีเวลามากขึ้นสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ประโยชน์ที่สำคัญมาก ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เด็ก ๆ จะไม่รู้สึกว่าถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว เพราะจะมีสมาชิกในครอบครัวที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ส่วนปู่ย่าตายายที่เกษียณแล้วก็จะรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น สดใส เพราะมีลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ” วิลล่าขนาดใหญ่พิเศษของ โครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 310 ล้านบาท ส่วนวิลล่าขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,200 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 220 ล้านบาท ในขณะที่บ้านขนาดกลางเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,000 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 185 ล้านบาท ทั้งนี้ วิลล่าหลังใหญ่ที่สุดมีห้องรับประทานอาหารและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งครอบครัวที่มีสมาชิกทุกเพศทุกวัย สามารถมารวมตัวทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกันได้ในบ้านหลังเดียว โดยบางวิลล่าสามารถนั่งล้อมโต๊ะทานข้าวพร้อมกันได้ถึงยี่สิบคน หรือมากกว่านั้น มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ส่วนลักชัวรี่อื่น ๆ ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อาทิ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ วิลล่า โครงการที่พักอาศัยซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกในประเทศไทย รวมทั้ง โรงแรมซิกเซนส์ ที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2567 ด้วย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนพื้นที่เชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วบนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ถือเป็นโครงการต้นแบบระดับโลกแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง รวมทั้งเป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลก ที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น โครงการได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จนถึงขณะนี้โครงการได้รับรางวัลจากทั่วโลกแล้วมากกว่า 40 รางวัล การันตีความโดดเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นในการอยู่อาศัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน อาทิ ‘Gold Award for Urban Design’, และ ‘Silver Award for Sustainable Living and Green Design’, จากสถาบันอันทรงเกียรติ International Design Awards (IDA), Platinum Award for environmental sustainability จาก Outstanding Property Awards London, Winner of the Global Human Settlements Award on Planning and Design จาก Global Forum on Human Settlements, และรางวัล Winner of the Visionary Living & Working award จาก Innovative Architecture. นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “เราได้เห็นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่งรวมถึงโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ที่ทำยอดขายได้แล้วกว่า 5,500 ล้านบาท ในขณะที่โครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่เห็นว่าหลายครอบครัวตั้งใจซื้อที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ เพื่ออยู่จริง และการก่อสร้างโครงการก็กำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว” นายกิตติพันธุ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ทั้งหมดใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ มียอดขายรวมกันถึง 22,000 ล้านบาทแล้ว องค์ประกอบสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษอย่างหนึ่งของโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ ป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่ บริเวณใจกลางโครงการ พร้อมทางเดินยกระดับที่ทอดยาวทะลุผืนป่ายาว 1.6 กิโลเมตร นอกจากโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบแล้ว เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยพื้นที่สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์และการพักผ่อนของครอบครัว ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชน และกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ Family Center ตลาด สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน    สนใจชมโครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า” และรายละเอียดเพิ่มเติม ที่: Call Center 1265  หรือ เว็บไซต์ www.MQDC.com

By MercedesBenz

โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ มาตรฐานระดับโลกจากอเมริกา ชวนเช็กอินเสาร์ที่ 2 มี.ค. 67 ให้ผู้ปกครองร่วมสัมผัสกับบรรยากาศการเรียนการสอนจริงในกิจกรรม OPEN HOUSE ! เบซิส กรุงเทพฯ (BASIS International School Bangkok) โรงเรียนนานาชาติระดับโลก ลำดับที่ 35 ในเครือข่ายโรงเรียน BASIS Network School จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีหลักสูตรเฉพาะที่ถูกออกแบบและพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนที่ดีที่สุดในอเมริกา  เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้น Nursery ไปจนจบมัธยมปลายที่ Grade 12 นับเป็นหลักสูตรที่มีความเข้มข้นทางวิชาการ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถของนักเรียนอย่างไร้ขีดจำกัด ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนประสบความสำเร็จตามศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตและแข่งขันได้ในระดับสากล โรงเรียนเครือข่ายเบซิสสามารถผลักดันให้นักเรียนก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยแถวหน้าของโลกมาแล้วมากมาย และสร้างชื่อเสียงในฐานะบุคลากรคุณภาพในสังคมโลก นับเป็นความมุ่งหมายสูงสุดในการนำพา เบซิส กรุงเทพฯ เดินหน้าสู่ความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับการบูรณาการหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย ปลูกฝังความเป็นไทยในทุกระดับชั้น ควบคู่ไปกับหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีมาตรฐานในระดับสากล จึงไม่น่าแปลกใจที่ เบซิส กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดของประเทศไทยไปแล้ว นอกจากเบซิส กรุงเทพฯ จะให้ความสำคัญด้านวิชาการมาเป็นอันดับหนึ่ง สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีมีคุณภาพยังเป็นส่วนที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการปลูกฝังความรักในการเรียนรู้ และส่งเสริมให้นักเรียนได้ค้นพบความชอบของตนเองอีกด้วย การคัดสรรบุคลากรครูผู้สอนแต่ละท่านเปี่ยมด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานความเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนจะสามารถเป็นเลิศได้ โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ พร้อมแล้ว ที่จะเปิดบ้านครั้งใหม่ ในกิจกรรม Open House ให้เข้าเยี่ยมชมสถานที่และไขข้อสงสัยว่า

By MercedesBenz

บ้านขนิษฐาแอนด์แกลเลอรี่ (สาทร) ลิ้มรสอาหารไทยต้นตำรับรสชาติไทยแท้ในกรุงเทพฯ ท่ามกลางบรรยากาศร้านผสมผสานด้วยงานหัตถกรรมโบราณ งานประติมากรรม จิตรกรรม กลิ่นอายของความเป็นไทย ตั้งอยู่บนถนนสาทรใต้ในบรรยากาศที่หรูหรา ร่มรื่น สะดวกสบายกับการเดินทางด้วย MRT สถานีลุมพินี และ BTS สถานีช่องนนทรี อาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizer) ถือเป็นอาหารจานพิเศษในการเริ่มต้นมื้ออาหารได้อย่างสมบูรณ์ และยังเป็นวัฒนธรรมการรับประทานอาหาร อาหารไทยก็เช่นเดียวกัน ร้านอาหารบ้านขนิษฐา นำเสนอเมนู “รวมมิตรเครื่องว่างต้นตำหรับ” หลากหลายเมนูยอดนิยมในจานเดียว เช่น ทอดมันกุ้ง ทอดมันปลากราย ไก่ห่อใบเตย และปอเปี๊ยะทอด รับประทานคู่ 4 น่ำจิ้มสูตรเด็ดของทางร้าน “ยำส้มโอบ้านขนิษฐา” ที่คัดสรรส้มโอจาก อ.นครไชยศรี จ.นครปฐม คลุกกับยำกับไก่ฉีกและกุ้ง ส้มโอหวานอมเปรี้ยวเข้ากับน้ำยำรสชาติกลมกล่อม หอมถั่วลิสงและมะพร้าวคั่วใส่น้ำพริกเผาในน้ำยำสูตรเด็ดไม่เหมือนใคร “น้ำพริกลงเรือปลาดุกฟูหมูหวาน” สูตรตำรับบ้านขนิษฐาจะใส่กุ้งและหมู ผัดกับเครื่องน้ำพริก ใช้มะม่วงดิบเพื่อเพิ่มความเปรี้ยว แต่งด้วยไข่เค็มแดง เคียงด้วยปลาดุกฟูและหมูหวาน รับประทานกับผักสด “ฉู่ฉี่กุ้งอยุธยา” กุ้งแม่น้ำตัวโตๆ สดๆ ทอดกรอบ หอมเนื้อแน่นเต็มคำ ราดด้วยซอสฉู่ฉี่สูตรเด็ดเข้มข้นถึงเครื่องพริกแกง “ต้มยำกุ้งนางบ้านขนิษฐา” เน้นรสชาติเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก จะออกเค็มและหวานเล็กน้อย มีเครื่องเทศที่ใส่ในน้ำแกงที่สำคัญคือ ใบมะกรูด ตะไคร้ “ปูนิ่มผัดพริกไทยดำ” เมนูปูนิ่มยอดนิยมอีกหนึ่งเมนู ปูนิ่มที่ทอดจนเหลืองกรอบ นำไปผัดกับพริกไทยดำจนเข้ากัน รสชาติหวานกลมกล่อมกำลังดี “มะกรูดเชื่อมลอยแก้ว ลูกลานสีดอกอัญชัน” ของหวานไทย ที่ทำจากพืชผักสมุนไพร นำมาลอยแก้ว มีรสชาติหวานหอม สดชื่น ผลมะกรูดนำมาคว้านไส้ออกและเชื่อมในแบบชาววังแท้ เสิร์ฟแบบลอยแก้วใส่น้ำแข็งทุบ เคียงด้วยลูกลานที่นำไปเชื่อมในน้ำเชื่อมใส่น้ำดอกไม้อัญชัน และ ขนมหม้อแกงกล้วยไข่เชื่อม บ้านขนิษฐา สาขาสาทร สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ 02-6754200, 083-2975467

By MercedesBenz

โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ มาตรฐานระดับโลกจากอเมริกา ชวนเช็กอิน วันเสาร์ที่ 28 ต.ค. 66 นี้! เบซิส กรุงเทพฯ (BASIS International School Bangkok) โรงเรียนนานาชาติระดับโลก ลำดับที่ 35 ในเครือข่ายโรงเรียน BASIS Network School จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีหลักสูตรเฉพาะที่ถูกออกแบบและพัฒนามาอย่างยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนที่ดีที่สุดในอเมริกา เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้น Nursery ไปจนจบมัธยมปลายที่ Grade 12  นับเป็นหลักสูตรที่มีความเข้มข้นทางวิชาการ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถของนักเรียนอย่างไร้ขีดจำกัด ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนประสบความสำเร็จตามศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต และแข่งขันได้ในระดับสากล โรงเรียนเครือข่ายเบซิสสามารถผลักดันให้นักเรียนก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยแถวหน้าของโลกมาแล้วมากมาย และสร้างชื่อเสียงในฐานะบุคลากรคุณภาพในสังคมโลก นับเป็นความมุ่งหมายสูงสุดในการนำพา เบซิส กรุงเทพฯ เดินหน้าสู่ความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับการบูรณาการหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย โดยการนำเอาเอกลักษณ์ของภาษา ศิลปะ และวัฒนธรรม มาเป็นส่วนสำคัญในการปลูกฝังความเป็นไทยในทุกระดับชั้น ควบคู่ไปกับหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีมาตรฐานในระดับสากล จึงไม่น่าแปลกใจที่ เบซิส กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดของประเทศไทยไปแล้ว นอกจาก เบซิส กรุงเทพฯ จะให้ความสำคัญด้านวิชาการมาเป็นอันดับหนึ่ง สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีมีคุณภาพยังเป็นส่วนที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการปลูกฝังความรักในการเรียนรู้ และส่งเสริมให้นักเรียนได้ค้นพบความชอบของตนเองอีกด้วย การคัดสรรบุคลากรครูผู้สอนแต่ละท่านเปี่ยมด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานความเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนจะสามารถเป็นเลิศได้ โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ พร้อมแล้ว ที่จะเปิดบ้านครั้งใหม่ ในกิจกรรม Open House ให้เข้าเยี่ยมชมสถานที่และไขข้อสงสัยที่ว่า

By MercedesBenz

ผู้สนใจเข้าชมงาน ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ Call Center โทร.1265 หรือสแกน QR Code MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศจัดงานยิ่งใหญ่ “The Forestias Story & Beyond” เปิดให้ลูกบ้านเจ้าของโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ในเดอะฟอเรสเทียส์ พันธมิตรทางธุรกิจต่าง ๆ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ เข้าร่วมสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่จะทำให้คุณได้มีความสุข สนุก และประทับใจ ไปพร้อม ๆ กับการรับทราบข้อมูลความคืบหน้า และรับทราบข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ของ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ รวมทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์”   วันเสาร์ที่ 10 และวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายนนี้ วันละ 3 รอบ ได้แก่ รอบเวลา 13.00 - 15.00 น., รอบเวลา 15.30 - 17.30 น. และรอบเวลา 18.00 - 20.00 น. ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมือง และเป็นโครงการเมืองแห่งแรก ที่ออกแบบทุกมิติเพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น เตรียมจัดงานสุดยิ่งใหญ่ในรูปแบบ Immersive Event เพื่ออัปเดตความคืบหน้าของโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อาทิ โครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์, มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า, มัลเบอร์รี่ โกรฟ คอนโดมิเนียม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี และสกายวิลล่า   พร้อมกันนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ล่าสุด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดอะ ฟอเรสเทียส์ และเปิดตัวพื้นที่ไลฟ์สไตล์ ที่จะมาเติมเต็มการใช้ชีวิต ที่เดอะ ฟอเรสเทียส์ ให้เต็มไปด้วยความสุขในทุกวันด้วย โดยการนำเสนอเนื้อหาและเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านโชว์สุดตระการตา และเทคโนโลยีสุดล้ำสมัย ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ตื่นตาตื่นใจ และรับชมอย่างเพลิดเพลิน”   ส่วนหนึ่งของไฮไลต์พิเศษภายในงาน คือการสัมผัสกับประสบการณ์ครั้งแรกของโลก ที่โครงการอสังหาริมทรัพย์จะเชื่อมที่อยู่อาศัยในโลกจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ความเป็นอยู่ที่ง่ายสะดวกสบาย มีความสุข และสนุกยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม นอกจากนั้น คือการได้ยลโฉม The New Themed Destination in the World พื้นที่จุดหมายแห่งความสุขในทุกวันสำหรับทุกคนและทุกเจเนอเรชัน และการเยี่ยมชมโครงการที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ล่าสุดในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่ชื่อว่า “เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์” คอนโดมิเนียมหรูที่มุ่งตอบโจทย์ผู้ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่ มีความเป็นส่วนตัว และใกล้ชิดธรรมชาติ โดยรับชมรูปแบบ Virtual Reality สุดล้ำ และพบกับเทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ ที่จะช่วยบอกเล่าเรื่องราวของเดอะ ฟอเรสเทียส์ อย่างน่าตื่นเต้นและน่าประทับใจ นอกจากนั้น ภายในงานยังจะได้พบกับศิลปินชื่อดัง ขวัญใจมหาชน “ครอบครัวบีม กวี – ออย อฏิพรณ์ – น้องธีร์ – น้องพีร์ ตันจรารักษ์”  ที่จะมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอสตอรี่ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ พร้อมทั้งศิลปินค่าย One เข้าร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น ไบร์ท นรภัทร, แจม รชตะ, ฟิล์ม ธนภัทร, ตรี ภรภัทร, วิน ทรงสิน และเอิร์ท ธนกฤต

By MercedesBenz

ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชม โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ในรูปแบบ Virtual Reality ได้ในงาน The Forestias Story and Beyond ที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน วันที่ 10 - 11 มิถุนายนนี้ โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center 1265 MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า บริษัทฯ กำลังก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยแห่งใหม่ มูลค่า 5,900 ล้านบาท ความสูง 44 ชั้น ในชื่อ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 398 ไร่ ของโครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม.7    ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ คือหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรู ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ในประเทศไทยอีกด้วย โดยที่พักอาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ติดกับป่าขนาด 30 ไร่ ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ และเชื่อมโดยตรงกับทางเดินยกระดับที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ความยาว 1.6 กิโลเมตร  นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MQDC เปิดเผยว่า “ที่พักอาศัยโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่ว ๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ มอบให้ โดยอาคารโครงการความสูง 44 ชั้น มีเพียง 122 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งเป็นยูนิตแบบมีพื้นที่กว้างขวาง และทุกยูนิตเปิดรับวิวป่าแบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่าง ๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า” ห้องพักอาศัยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 140 ตารางเมตร ไปจนถึง 350 ตารางเมตร โดยมีห้องแบบเพนท์เฮาส์ขนาดพื้นที่ใช้สอย 917 ตารางเมตร บนชั้น 43 ส่วนจำนวนห้องนอนก็มีเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 2 ห้องนอน ไปจนถึง 5 ห้องนอน โดยที่พักอาศัยแบบฟรีโฮลด์แห่งนี้ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 37 ล้านบาท สำหรับยูนิตขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท สำหรับยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ตัวอาคารของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้รับการออกแบบโดย Foster + Partners โดยแนวคิดของโครงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัย เราจึงพิถีพิถันใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียด บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว โดยได้สร้างโถงทางเดินและบันไดสำหรับงานบำรุงรักษาไว้ในจุดต่าง ๆ  “การออกแบบนี้จะช่วยให้ช่างสามารถเข้าบริการหรือดูแลรักษางานระบบอาคาร โดยเฉพาะงานท่อหลักได้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาอาคารให้ได้มาตรฐานระดับพรีเมียมอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รบกวนพื้นที่ส่วนรวมที่ลูกบ้านใช้ประจำ” นายยุทธนากล่าว   นอกจากนั้น การออกแบบพื้นที่ภายในยังมีความเป็นสัดส่วน โดยแยกพื้นที่ที่ผู้ช่วยดูแลบ้านต้องใช้ เช่น พื้นที่ห้องครัวไทย และห้องพักของผู้ช่วยดูแลบ้าน ไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย พร้อมกันนี้ ทุกยูนิตยังมีล็อบบี้ลิฟต์ส่วนตัวอีกด้วย อีกทั้งยังได้ออกแบบโถงล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแยกเป็นสัดเป็นส่วนกับล็อบบี้หลักของอาคาร หนึ่งในลักษณะพิเศษที่เป็นจุดเด่นของโครงการ คือมีที่นั่งพักผ่อนภายนอกอาคารมากมาย รวมไปถึงสวนส่วนตัว สนามหญ้าอเนกประสงค์ ระเบียงชายป่า และบ้านต้นไม้ นอกจากนั้น ยังได้นำเอาวัสดุพิเศษมาใช้ ในการก่อสร้างฟาซาด เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารรู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น    ที่พักอาศัยโครงการ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ใกล้กับ โฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ในสไตล์ที่จะมาเติมเต็มพื้นที่ และสะท้อนธีมใกล้ชิดธรรมชาติของซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้เป็นอย่างดี พร้อมกับมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอาคารที่พักอาศัยและอาคารโรงแรม ซึ่งการตั้งอยู่ใกล้เคียงแบบเชื่อมถึงกันได้อย่างสะดวกสบายกับโรงแรม และพื้นที่จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญอย่างหนึ่ง สำหรับลูกค้าเจ้าของที่พักอาศัย โครงการซิกเนเจอร์ ซีรีส์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในสิ้นปี 2568 และเตรียมเปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป   นายยุทธนา กล่าวว่า ขอเชิญชวนผู้สนใจ ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ ที่ Call Center โทร. 1265 หรือ  https://mqdc.link/3q2GmZX โดยผู้จองที่พักอาศัยเดอะ ฟอเรสเทียร์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ 30 ยูนิตแรก ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 จะได้รับสิทธิพิเศษราคา VVIP ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 2.5 ล้านบาท พร้อมกับจะได้รับสิทธิพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม ในการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่โฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียร์ มูลค่าสูงสุดถึง 500,000 บาท นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “ที่พักอาศัยอื่น ๆ อีก 4 แบรนด์ของเรา ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ถึงตอนนี้ทำยอดขายรวมกันมากกว่า 22,000 ล้านบาทไปแล้ว”   “ผมเชื่อว่า เหตุผลที่โครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากขึ้น อยากใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าทั่ว ๆ ไป ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวเยอะ ๆ และอยากอยู่ในโครงการที่ได้รับการออกแบบโดยบริษัทที่ได้รับการยอมรับนับถือในระดับโลก ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และผมคิดว่า ที่คนเชื่อมั่นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ของเรามีศักยภาพสูงในด้านของการลงทุน เป็นเพราะการที่โครงการตั้งอยู่ในทำเลเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อน และส่งเสริมให้โครงการมีความน่าดึงดูดใจ” นายกิตติพันธุ์กล่าว

Become A Journalista