
Mercedes Me Adapter อุปกรณ์ที่ทำให้รถยนต์ของคุณเป็นมากกว่าแค่เพื่อนร่วมทาง

Mercedes Me Adapter คือนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึง และแสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ Mercedes-Benz แบบ Real-time เช่น เช็คปริมาณน้ำมัน และตรวจสอบสภาพรถยนต์พื้นฐาน ณ ขณะนั้น โดยการเชื่อมต่อรถยนต์ Mercedes-Benz ของคุณผ่านอุปกรณ์ Mercedes Me Adapter และแสดงผลผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes Me บนสมาร์ทโฟนของคุณ
Mercedes Me Adapter ช่วยให้คุณรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่จำเป็นในการดูแลรถยนต์ Mercedes-Benz ให้พร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันการติดต่อนัดหมายรับบริการที่ศูนย์บริการ หรือติดต่อขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาของคุณในการค้นหาที่จอดรถ เมื่อไปสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และช่วยคุณตามหารถของคุณในลานจอดรถ ซึ่งทำให้การเดินทางของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
มากไปกว่านั้น คุณยังสามารถเก็บข้อมูลการเดินทางต่างๆ จาก Mercedes Me Adapter ไว้บนสมาร์ทโฟนของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการใช้รถ ระยะทางที่ใช้ เวลาที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อใช้ในการวางแผน และประหยัดเวลาในการเดินทาง และช่วยให้ชีวิตของคุณง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชั่นพื้นฐานต่างๆ ที่สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันตรวจสอบลมยาง ฟังก์ชันเตือนการล้างรถ หรือฟังก์ชันวัดอุณหภูมิทั้งในและนอกรถ ที่สามารถปรับได้ดังใจ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่ารถยนต์ Mercedes-Benz จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ และรู้สึกวางใจทุกครั้งที่สตาร์ทรถ
อุปกรณ์ Mercedes Me Adapter ไม่เพียงแต่ช่วยให้รถยนต์ของคุณคงความเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ เหมือนดังเช่นวันแรกที่คุณรับรถ แต่ยังเพิ่มความทันสมัยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์คันโปรดของคุณได้เพียงปลายนิ้ว
สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Mercedes Me Adapter บน Apple App Store (iOS) และ Google Play Store เพื่อตรวจสอบรุ่นรถยนต์ที่สามารถใช้งาน Mercedes Me Adapter ฟรี ที่ ระบบ iOS ที่ Apple App Store : http://mb4.me/MmAios และระบบ Android ที่ Google Play Store: http://mb4.me/MmAAndroid
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการ Mercedes-Benz อย่างเป็นทางการใกล้บ้านคุณ
—————————————————————–
ที่มา : Mercedes Card Journal / Issue 01-2021
Word / Photo : Mercedes-Benz Thailand
RELATED POSTS

‘เบซิส กรุงเทพฯ’ ตอกย้ำโรงเรียนนานาชาติอันดับหนึ่งของไทย มาตราฐานระดับโลก ชวนเช็กอินกิจกรรม OPEN HOUSE ครั้งใหม่ เสาร์ที่ 25 ก.พ. 66 นี้!
เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ที่หลักสูตร BASIS Curriculum ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องว่าเป็นหลักสูตรที่ดีที่สุดทั้งในระดับชาติและระดับสากล เป็นโปรแกรมด้านวิชาการที่เลื่องลือ หลอมรวมแนวคิดและเนื้อหาที่เข้มข้น เข้ากับจิตวิญญาณและความคิดสร้างสรรค์ของการศึกษาแบบอเมริกัน ปูแนวทางการวิเคราะห์เหตุและผลที่ส่งเสริมความสำเร็จให้แก่เด็กนักเรียน และจากรายงานการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่านักเรียนของเบซิส มีผลงานดีกว่านักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติชั้นนำหลายแห่ง จึงเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก ที่ เบซิส กรุงเทพฯ (BASIS International School Bangkok) เป็นโรงเรียนนานาชาติมาตราฐานระดับโลก ลำดับที่ 35 สาขาแรกในประเทศไทยและอาเซียน หนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนเบซิสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา จนเป็นที่ยอมรับในมาตราฐานระดับโกลด์ โดยเริ่มระดับชั้นการศึกษาที่เตรียมอนุบาล Pre K 1 จนจบสมบูรณ์ที่ Grade 12 นับเป็นหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพอันแท้จริงของนักเรียนแต่ละคน ด้วยความเชื่อที่ว่าเด็กนักเรียนทุกคนสามารถก้าวไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จในแบบของตนเอง พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างเหมาะสม เพราะแรงบันดาลใจคือพื้นฐานสำคัญของการศึกษานั่นเอง นอกจากหลักสูตรที่เป็นเลิศแล้ว เบซิส กรุงเทพฯ ยังให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่สนุกสนานอีกด้วย การบูรณาการหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย ด้วยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นไทย นำเอาเอกลักษณ์ของภาษาไทย ศิลปะ วัฒนธรรมไทย มาเป็นส่วนสำคัญในการปลูกฝังพื้นฐานความเป็นไทย ควบคู่ไปกับหลักสูตรการเรียนการสอนแบบสากลในทุกระดับชั้น ทำให้โรงเรียนนานาชาติแห่งนี้มีความแตกต่างอย่างมีความหมาย ในพื้นที่อันเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และไม่น่าแปลกใจที่ เบซิส กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ ไปแล้ว ความโดดเด่นรอบด้านของเบซิส กรุงเทพฯ นอกจากนวัตกรรมการศึกษาที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานแล้ว ยังให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบอาคารต่าง ๆ ของโรงเรียนตามมาตรฐานอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา ด้วยคำนึงถึงหัวใจของการมีสุขภาพดีทั้งกายและใจควบคู่ไปกับการเรียนที่สนุกสนาน พร้อมปลูกจิตสำนึกเรื่องการรักษ์สิ่งแวดล้อม บนพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่นผืนใหญ่ในย่านพระราม 2 อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ ที่อาคารทั้งหลังติดตั้งระบบอากาศแบบเติมอากาศจากภายนอก เพื่อให้มั่นใจได้ว่านักเรียนและคณาจารย์ได้รับอากาศที่สะอาด บริสุทธิ์ และปลอดภัย โรงเรียนนานาชาติเบซิส กรุงเทพฯ พร้อมแล้ว ที่จะเปิดบ้านครั้งใหม่ ใน กิจกรรม Open House ให้เข้าเยี่ยมชมสถานที่และสัมผัสประสบการณ์ที่ทำให้ไขข้อสงสัยที่ว่า ทำไมเด็กนักเรียนเบซิสจึงอยากมาเรียนในทุก ๆ วัน และรักการเรียนรู้อยู่เสมอ อีกทั้งยังได้สัมผัสกับบรรยากาศการเรียนการสอนจริง ในห้องเรียนที่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อันทันสมัย ประกอบด้วยครูผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญ 2 ท่าน (SET&LET) โดยครู SET จะเป็นครูชำนาญการสอนความรู้เชิงลึก (Subject Expert Teacher) ในสาขาวิชาต่าง ๆ และครู LET จะเป็นครูผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning Expert Teacher) ในการพัฒนาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ และหลักสูตรที่มุ้งเน้นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต 📍 กิจกรรม Open House ครั้งใหม่ จัดขึ้นภายในวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 🕘 เวลา 09.00 - 11.30 น. 📲 ลงทะเบียนเข้างาน : https://booking.readyplanet.com/b/ugvil8fq/4862 ☎️ สอบถามเพิ่มเติม: โทร. 0 2415 0099 📧 Email: admissions@basis.ac.th 🌐 LINE: @BASISAdmissions

MQDC เร่งเครื่องก่อสร้าง ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ พื้นที่เพื่อกิจกรรมความหลากหลาย ความบันเทิง มาร์เก็ต การพักผ่อน และไลฟ์สไตล์
MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า กำลังเร่งเครื่องการก่อสร้างพื้นที่ส่วน 'ทาวน์ เซ็นเตอร์' ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม. 7 ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลยกย่องมากมาย และเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มูลค่า 125,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจาก ทาวน์ เซ็นเตอร์ แล้ว ในพื้นที่ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายแบรนด์ โรงแรม พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงป่าพื้นที่ 30 ไร่ ด้วย ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 46 ไร่ โดย MQDC ได้ทุ่มเงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท ในการพัฒนาส่วนแรกของ ทาวน์ เซ็นเตอร์ ซึ่งมีกำหนดที่จะเปิดก่อนสิ้นปี 2566 นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า “ทาวน์ เซ็นเตอร์ เป็นแนวคิดใหม่ที่พัฒนาในสเกลที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญก้าวใหม่ ในการวางแผนพัฒนาสังคมแห่งสุขภาพที่ดีและความสุข โดย ทาวน์ เซ็นเตอร์ เป็นแก่นสำคัญของโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่ทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชนแห่งนี้ และนำพาครอบครัวให้มาอยู่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงออกแบบพื้นที่ส่วนนี้ให้เป็นที่ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวจากทุกเจเนอเรชั่น จะสามารถมาทำกิจกรรมที่ตอบโจทย์ชีวิต การพักผ่อนหย่อนใจ และความบันเทิง ตามที่ตัวเองต้องการได้ นอกจากนั้น เรายังได้สร้างสรรค์ให้พื้นที่ส่วนนี้ ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้คนได้มามีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมประจำวัน หรือกิจกรรมทางสังคม และกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจะมาเดินเล่นเฉย ๆ ก็ได้” “ทาวน์ เซ็นเตอร์ ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ตามแบบฉบับของการเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของเมืองในยุคใหม่ที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา มีการวางผังต่าง ๆ อย่างดี และจะได้รับการดูแลรักษาในระดับมาตรฐานเดียวกันกับเมืองล้ำ ๆ ตามที่ต่าง ๆ ในโลก รวมทั้งได้เพิ่มความพิเศษอย่างมากเข้าไปด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่ร่มรื่นและสดชื่น องค์ประกอบส่วนภายในอาคารและภายนอกอาคาร ได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อกันอย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ทั้งยังใกล้กับผืนป่าขนาด 30 ไร่ ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ ในระยะเดินเพียงสั้น ๆ” นางสาวอรดา เกิดหงษ์ ประธานผู้อำนวยการ – Storied Place Management, MQDC เปิดเผยว่า “ทาวน์ เซ็นเตอร์ ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลายเป็นอย่างมาก เป็นทาวน์ เซ็นเตอร์ อย่างแท้จริง ที่มีความผสมผสาน แต่ก็เป็นสัดเป็นส่วนและมีประสบการณ์ที่น่าค้นหา และรู้สึกเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา” นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกิจกรรมประจำวันแล้ว ยังมีพื้นที่มาร์เก็ตให้ได้จับจ่ายใช้สอยอยู่อีกมากมายหลายจุด รวมไปถึงธีมมาร์เก็ตฮอลล์ ลานกิจกรรม และขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกีฬา และการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงพื้นที่สำหรับการศึกษาเรียนรู้และความบันเทิง พื้นที่เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต โคเวิร์คกิ้ง สเปซ ตลอดจนแอมฟิเธียเตอร์สำหรับจัดกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ นางสาวอรดา กล่าวต่อไปว่า “เพื่อให้เป็น ทาวน์ เซ็นเตอร์ อย่างแท้จริง เราได้เน้นเป็นอย่างมากกับการสร้างสรรค์สถานที่แฮงค์เอาท์หลากหลายรูปแบบ พร้อมเมนูอาหารและทางเลือกในการดื่มกินแบบต่าง ๆ ตอบโจทย์ทุกสไตล์ และหลากหลายราคา” “ในบรรดาพื้นที่ที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เป็นส่วนแรก ๆ ได้แก่ โรงละครอเนกประสงค์ภายในอาคาร ซึ่งสามารถใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงต่าง ๆ ได้ รวมถึงจัดแสดงงานศิลปะ งานแสดงสินค้า นิทรรศการ การประชุม และงานแต่งงาน รวมทั้งให้ผู้อยู่อาศัยในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ใช้เป็นเวทีจัดแสดงละครเองได้ด้วย นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของการออกแบบพื้นที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในรูปแบบที่เอื้อให้สังคมในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้ใกล้ชิดสนิทกัน” นางสาวอรดา กล่าว “และสิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ไม่ว่าคุณจะแวะมาทำอะไรก็ตามที่ ทาวน์ เซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยง ทาวน์ เซ็นเตอร์ จะเป็นที่ที่คุณได้เติมพลังชีวิต ด้วยการพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางพื้นที่สีเขียวที่เงียบสงบ หรือบรรยากาศที่น่าตื่นเต้น ทุกประสบการณ์สามารถพบได้ที่นี่” ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัย ภายใต้แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า” ซึ่งนำเสนอบ้านในรูปแบบคลัสเตอร์โฮม ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวเดียวกันจากหลายเจเนอเรชั่น ได้อยู่อาศัยในบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน สามารถใช้เวลาร่วมกันได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวในบ้านแยกหลังของตัวเอง ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีการใช้ชีวิตของครอบครัวไทยดั้งเดิมนั่นเอง บ้านเดี่ยวในโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่ามีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร จนถึงประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ประมาณ 185 ล้านบาท ไปจนถึง 310 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คอนโดมิเนียม ซึ่งออกแบบภายใต้แนวคิดคล้าย ๆ กัน โดยมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 63 ตารางเมตร ไปจนถึง 1,027 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท วิลล่าอื่น ๆ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างในพื้นที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ได้แก่ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ที่สุดหรูหรา ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นในประเทศไทย ส่วนโครงการที่พักอาศัยอื่น ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ วิสซ์ดอม จำนวน 3 อาคาร ซึ่งออกแบบเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มทำงาน คู่สมรสใหม่ที่เริ่มสร้างครอบครัว และมีหนึ่งอาคารที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 35 ตารางเมตร ไปจนถึง 205 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ดิ แอสเพนทรี และ สกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต เดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ถือเป็นโครงการต้นแบบระดับโลกแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง รวมทั้งเป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลก ที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ตัวโครงการได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จนถึงขณะนี้โครงการได้รับรางวัลจากทั่วโลกแล้วมากกว่า 42 รางวัล ซึ่งรับรองความโดดเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นในการอยู่อาศัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน อาทิ รางวัล Gold Award for Urban Design และรางวัล Silver Award for Sustainable Living and Green Design ซึ่งมอบให้โดยสถาบัน International Design Awards (IDA) อันทรงเกียรติ, รางวัล Platinum Award สาขาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจากเวที Outstanding Property Awards London อีกทั้งได้รับเลือกให้ได้รับรางวัล Global Settlements Award ด้านการวางแผนและออกแบบจาก Global Forum on Human Settlements และรางวัลจาก International Federation of Landscape Architects จนถึงขณะนี้ โครงการที่พักอาศัยแบรนด์ต่าง ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ มียอดขายรวมกันเกินกว่า 22,000 ล้านบาท ☎️ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ Call Center 1265 หรือ https://mqdc.com/th/our-business/theme-project/theforestias

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เตรียมพร้อมเปิดให้ชม ‘มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า’ บ้านคลัสเตอร์สุดหรู สำหรับครอบครัวใหญ่หลายเจเนอเรชั่น
ยอดขายโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ล่าสุดแตะ 22,000 ล้านบาท วันนี้ MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมแล้วที่จะเปิดวิลล่าหลังแรกของโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้! ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงแนวคิดใหม่ในการออกแบบบ้าน ที่หลายวิลล่าถูกเชื่อมต่อถึงกัน เพื่อให้ครอบครัวขยายที่ประกอบไปด้วยสมาชิกหลายเจเนอเรชั่นสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยการอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวของตัวเอง มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวที่ออกแบบโดย Foster + Partners โดยแต่ละวิลล่ามีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 - 1,700 ตารางเมตร มี 3 ขนาด ตั้งแต่ 4 - 6 ห้องนอน ตั้งกระจายตัวอยู่บนที่ดินพื้นที่ 26 ไร่ ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูส ขนาด 398 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นายชาคริต หัสสรังสี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแบรนด์ระดับลักชัวรี่ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง โครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ กล่าวว่า “นี่เป็นแนวคิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของครอบครัวคนไทย ที่หลายเจเนอเรชั่นในครอบครัวเดียวกัน มักจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่ด้วยความจำเป็นของวิถีชีวิตคนเมืองสมัยใหม่ ทำให้การใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็นมา กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อย ๆ มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า จึงมุ่งช่วยส่งเสริมให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ซึ่งแนวคิดนี้ ได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดี และตอนนี้ทางโครงการพร้อมแล้ว ที่จะเชิญครอบครัวที่สนใจเข้าชมบ้านจริงได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป” นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “มัลเบอรี่ โกรฟ มีแนวคิดที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในอาณาบริเวณที่ใกล้ชิดติดกับพ่อแม่ หรือลูกที่โตแล้ว หรือทั้งสองอย่าง ยังจะช่วยทำให้เจ้าของบ้านมี ‘โบนัสเวลา’ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวที่เพิ่มขึ้น โดยทุกเจเนอเรชั่นซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่ออกแบบเหมาะกับความต้องการของตัวเอง จะสามารถไปมาหาสู่กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวได้โดยการเดินไปหาเพียงไม่กี่นาที ครอบครัวจะสามารถช่วยกันเลี้ยงเด็ก ๆ ได้ รวมทั้งช่วยกันดูแลพ่อแม่ที่อายุมากแล้วได้สะดวกสบายมากขึ้น และไม่จำกัดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เป็นการประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างบ้าน ซึ่งจะทำให้ครอบครัวมีเวลามากขึ้นสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ประโยชน์ที่สำคัญมาก ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เด็ก ๆ จะไม่รู้สึกว่าถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว เพราะจะมีสมาชิกในครอบครัวที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ส่วนปู่ย่าตายายที่เกษียณแล้วก็จะรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น สดใส เพราะมีลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ” วิลล่าขนาดใหญ่พิเศษของ โครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 310 ล้านบาท ส่วนวิลล่าขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,200 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 220 ล้านบาท ในขณะที่บ้านขนาดกลางเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,000 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 185 ล้านบาท ทั้งนี้ วิลล่าหลังใหญ่ที่สุดมีห้องรับประทานอาหารและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งครอบครัวที่มีสมาชิกทุกเพศทุกวัย สามารถมารวมตัวทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกันได้ในบ้านหลังเดียว โดยบางวิลล่าสามารถนั่งล้อมโต๊ะทานข้าวพร้อมกันได้ถึงยี่สิบคน หรือมากกว่านั้น มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ส่วนลักชัวรี่อื่น ๆ ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อาทิ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ วิลล่า โครงการที่พักอาศัยซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกในประเทศไทย รวมทั้ง โรงแรมซิกเซนส์ ที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2567 ด้วย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนพื้นที่เชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วบนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ถือเป็นโครงการต้นแบบระดับโลกแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง รวมทั้งเป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลก ที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น โครงการได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จนถึงขณะนี้โครงการได้รับรางวัลจากทั่วโลกแล้วมากกว่า 40 รางวัล การันตีความโดดเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นในการอยู่อาศัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน อาทิ ‘Gold Award for Urban Design’, และ ‘Silver Award for Sustainable Living and Green Design’, จากสถาบันอันทรงเกียรติ International Design Awards (IDA), Platinum Award for environmental sustainability จาก Outstanding Property Awards London, Winner of the Global Human Settlements Award on Planning and Design จาก Global Forum on Human Settlements, และรางวัล Winner of the Visionary Living & Working award จาก Innovative Architecture. นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “เราได้เห็นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่งรวมถึงโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ที่ทำยอดขายได้แล้วกว่า 5,500 ล้านบาท ในขณะที่โครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่เห็นว่าหลายครอบครัวตั้งใจซื้อที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ เพื่ออยู่จริง และการก่อสร้างโครงการก็กำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว” นายกิตติพันธุ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ทั้งหมดใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ มียอดขายรวมกันถึง 22,000 ล้านบาทแล้ว องค์ประกอบสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษอย่างหนึ่งของโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ ป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่ บริเวณใจกลางโครงการ พร้อมทางเดินยกระดับที่ทอดยาวทะลุผืนป่ายาว 1.6 กิโลเมตร นอกจากโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบแล้ว เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยพื้นที่สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์และการพักผ่อนของครอบครัว ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชน และกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ Family Center ตลาด สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สนใจชมโครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า” และรายละเอียดเพิ่มเติม ที่: Call Center 1265 หรือ เว็บไซต์ www.MQDC.com