
พร้อมเปิดให้บริการ ‘The Coral Executive Lounge’ ต้อนรับนักท่องเที่ยวระดับท็อปวีไอพี “ภูเก็ตแซนบ็อกซ์” 1 ก.ค. นี้!

คุณณปภัช และ คุณทรรศชล ทรัพย์สุนทรกุล ประธานกรรมการ บริษัท ดิ เอ็กซ์เซคคิวทิฟ เลาจ์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดบริการ “The Coral Executive Lounge” ณ อาคารผู้โดยสารต่างประเทศ สนามบินนานาชาติภูเก็ต รอบ soft reopening Phuket วันที่ 23 มิถุนายน 2564 ทำการเชิญพันธมิตรสายการบิน โรงแรมฯ บริษัททัวร์ และสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชม การเตรียมพร้อมก่อนเปิดบริการจริง ต้อนรับผู้โดยสาร “ภูเก็ตแซนบ็อกซ์” ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้
โดย คอรัล เลาจน์ ได้ทดลองบริการพันธมิตรอย่างเสมือนจริง ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาภายในเลาจน์ เรามีการปฏิบัติตามมาตราการป้องกันและควบคุมโรคฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งกับผู้โดยสารภายในห้องรับรอง อาหาร และพนักงาน นอกจากนี้ การบริการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารในสนามบิน รวมไปถึงการต้อนรับรับรองแขกแบบคนสำคัญ มีชื่อเรียกบริการนี้ว่า VIP Arrival Service, VIP Departure Service, Fast Track, Meet and Greet, และ Porter ซึ่งยังคงรูปแบบการบริการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคอรัล
ธุรกิจประกอบไปด้วย คอรัล เลาจน์ 14 สาขา ทั่วสนามบินหลักของประเทศไทย ได้แก่ ภูเก็ต หาดใหญ่ กรุงเทพ อุดรธานี เชียงใหม่ และเชียงราย โรงแรม เลอคอรัล บีช รีสอร์ท แอนด์ คาเฟ่ ตั้งอยู่หาดนาใต้ จังหวัดพังงา เลอคอรัล คาเฟ่ 5 สาขา ศูนย์อาหารคอรัล สนามบินภูเก็ตและสปา
▶นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายธุรกิจเปิดห้องพักรับรองผู้โดยสารที่ต่างประเทศ สิงค์โปร และโอซาก้า
▶สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมผ่านเว็บไซต์ : https://www.coralthailand.com, https://lecoralresort.com/
▶โทร. 093 519 9954, 089 469 9456, อีเมล : sales@coralthailand.com, ไลน์ : https://lin.ee/Hn2OcPH
▶เฟซบุ๊ก : https://www.facebook.com/coralloungethailand และ https://www.facebook.com/lecoralbeachresortandcafe
RELATED POSTS

The Forestias นำแนวคิดใหม่ในการเป็นเจ้าของบ้านสู่ประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ ‘The Aspen Tree’ ที่อยู่อาศัยเพื่อคนวัย 50 ขึ้นไป พร้อมบริการและการดูแลตลอดชีวิตแบบครบวงจร ด้วยมาตรฐานระดับโลก!
เมื่อชีวิตออกแบบได้ จะดีแค่ไหนหากในวัยตั้งแต่ 50 ได้ใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ในโครงการที่พักอาศัยดั่งบ้าน ที่ใส่ใจในทุกองค์ประกอบของการออกแบบเพื่อคนวัยนี้โดยเฉพาะ รวมไปถึงการดูแลการใช้ชีวิตในแบบองค์รวมของทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้อยู่อาศัยจะได้รับความสุขจากการมีสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ The Forestias (เดอะ ฟอเรสเทียส์) อภิมหาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบบ้านและคอนโดสุดหรูระดับเวิลด์คลาสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นโครงการที่ออกแบบทุกมิติมุ่งเน้นส่งเสริมเรื่องการมีสุขภาพดี โดย แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) ย่านบางนาตราด กม. 7 ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ที่โอบล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียว พร้อมฟังก์ชันที่อยู่อาศัยเหมาะกับคนทุกวัยในทุกเจนเนอเรชัน บนพื้นที่ 398 ไร่ ด้วยมูลค่าการลงทุน 125,000 ล้านบาท และยังเป็นผู้นำแนวคิดรูปแบบใหม่ในการเป็นเจ้าของบ้านสู่ประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ ‘The Aspen Tree’ (ดิ แอสเพน ทรี) นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี เข้ามาช่วยเติมเต็มองค์ประกอบของที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อาทิ แบรนด์ Whizdom, Mulberry Grove และ Six Senses ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทของเรา ในการสร้างชุมชนที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันแตกต่าง และความหลากหลายของช่วงอายุ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายและใกล้ชิดธรรมชาติ” สำหรับแนวคิดใหม่ชูความโดดเด่นในการเป็นเจ้าของบ้าน พร้อมการดูแลแบบองค์รวมตลอดชีวิต (Holistic Lifetime Care) ที่ ‘ดิ แอสเพน ทรี’ ภายใต้มาตรฐานระดับโลก ถือเป็นแนวคิดที่มุ่งใส่ใจคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง พร้อมสร้างความเชื่อมั่นขจัดความกังวลในอนาคตจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ และมอบการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเฉพาะทางอีกด้วย สามารถตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิตสำหรับผู้สูงวัย ที่ต้องการวางแผนชีวิตในระยะยาวได้อย่างตรงความต้องการของการใช้ชีวิตนับจากนี้สู่อนาคต นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติม “ผู้คนต้องการเอาความไม่แน่นอนต่าง ๆ ออกไปจากชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น และในเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหามากมาย ที่ทำให้ยากต่อการคาดเดาอนาคต การลงทุนครั้งเดียวในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ ดิ แอสเพน ทรี ทำให้เราสามารถขจัดความกังวลและความไม่แน่นอนทั้งหมดในหลาย ๆ เรื่องไปได้ เช่น จะเกิดอะไรขึ้นกับค่าครองชีพรอบตัวเราที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี นี่จึงนับว่าเป็นข้อเสนอที่คุ้มค่า ที่นำมาซึ่งความสบายใจอย่างแท้จริง และส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของบ้านในอนาคตโดยปราศจากความกังวล แม้แต่ค่าส่วนกลางที่ปกติอาจจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะได้รับการยกเว้นด้วย ภายใต้แนวคิดใหม่ของการเป็นเจ้าของบ้านที่เรากำลังนำเสนออยู่นี้” โดยภายในตัวโครงการมีการจัดสรรพื้นที่พักอาศัย และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการใช้ชีวิตเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันกับเพื่อนบ้าน อีกทั้ง ‘ดิ แอสเพน ทรี’ ยังคำนึงถึงความปลอดภัยในระดับสูงสุด และให้ความใส่ใจในทุกรายละเอียดด้วยการออกแบบพื้นที่ของห้องน้ำ ทางเดิน รวมไปถึงประตูทางเข้าให้กว้างขวางเป็นพิเศษ มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบครันแบบ Fully-fitted และ Semi-decorated และการบริการแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น บริการช่วยเหลือดูแลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน บริการดูแลทำความสะอาด การจัดเตรียมอาหารสำหรับความต้องการพิเศษทางด้านโภชนาการ เป็นต้น และที่ให้ความสำคัญไม่แพ้กันด้านสุขภาพ โดยมี Health & Brain Center พร้อมให้บริการดูแลผู้อยู่อาศัย โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการดูแลผู้สูงอายุ ที่มากด้วยประสบการณ์ยาวนาน ให้การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและผสานโปรแกรม Health & Wellness ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ระหว่างวันต่าง ๆ ที่ชวนผ่อนคลาย อาทิ กิจกรรมศิลปะและเวิร์กช็อปงานฝีมือ โปรแกรมการออกกำลังกายทางร่างกายและจิตใจ โดยหลากหลายกิจกรรมไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม พร้อมทั้งมีโปรแกรมประกันสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการทางการแพทย์และการพยาบาล รองรับไปจนถึงอายุ 99 ปี เลยทีเดียว เฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ ดิ แอสเพน ทรี ที่ เดอะ ฟอเรสเทียส์ กล่าวว่า “เราขอนำเสนอที่พักอาศัยพร้อมบริการดูแลตลอดชีวิต พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่ โครงการ ดิ แอสเพน ทรี ซึ่งมีจำนวน 290 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 83 ตารางเมตร จนถึงประมาณ 253 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 23 ไร่ ณ ใจกลางสำคัญของโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่ทำให้เกือบทุกบ้านสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสดชื่นของป่าปลูก 30 ไร่ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ได้ และสำหรับ ดิ แอสเพน ทรี ตั้งเป้าไปที่กลุ่มคนที่มีความพร้อมทางการเงิน อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว กำลังมองหาบ้านที่เหมาะกับพวกเขาในตอนนี้ รวมทั้งเป็นบ้านที่จะช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างอิสระ มีความหมาย ปราศจากความกังวล และมีสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมบริการด้านสุขภาพและการดูแลครบวงจรอย่างมืออาชีพ ที่สามารถเข้าถึงได้เมื่อถึงช่วงเวลาสวยงามที่สุดของชีวิตของพวกเขา” ‘ดิ แอสเพน ทรี’ ยกระดับความสุขบนพื้นที่พักอาศัยของโครงการ ท่ามกลางบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์ของพื้นที่สีเขียว เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่ได้รับการตกแต่งสวยงามกลมกลืนไปกับตัวอาคาร ทางเดิน และเชื่อมต่อกับสวนป่าขนาดใหญ่ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่สามารถเดินออกกำลังกายรับโอโซนบริสุทธิ์บนทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าบริเวณใจกลางโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ และนอกจากที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบแล้ว ยังมีพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน, สปอร์ตคอมเพล็กซ์, กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ, ร้านค้าปลีก, ร้านอาหารและเครื่องดื่ม, พื้นที่ Family Center สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ของครอบครัว และพื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ, โรงละคร, อีเว้นต์ฮอลล์ และตลาด ดึงดูดให้ผู้ที่รีไทร์ตนเอง เลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการเติมเต็มความสุขในพื้นที่บริการครบวงจร สงบและเป็นส่วนตัวแห่งนี้ ไปพร้อมฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ทุกวัน ณ เมืองต้นแบบ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ที่มอบคุณภาพชีวิตที่ดีได้มากกว่าคำว่าที่พักอาศัย โปรโมชั่นพิเศษสำหรับช่วงเปิดตัว แพ็กเกจพิเศษ 'Best Friends Forever' วันนี้ - 31 พฤษภาคม 2565 📢 ในช่วงเปิดตัวจนไปถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ขอเชิญชวนกลุ่มเพื่อน ๆ มาจองห้องด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจพิเศษ 'Best Friends Forever' และยังมอบส่วนลดค่าที่พักอาศัยให้ผู้ซื้อแต่ละรายสูงสุดถึง 1.8 ล้านบาท พร้อมเครดิตเงินสด จำนวนคนละ 300,000 บาท ใช้ได้กับร้านค้า ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ 📢 และสำหรับผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยในส่วนอื่น ๆ ของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ก็สามารถแนะนำโครงการ ‘ดิ แอสเพน ทรี’ ให้กับเพื่อนและญาติ โดยผู้ซื้อที่มาจากการแนะนำอ้างอิงดังกล่าว จะมีสิทธิ์ได้รับส่วนลดและเครดิตด้วย ในขณะที่แนะนำจะได้รับสิทธิพิเศษเงินสดพิเศษ สูงสุดถึง 400,000 บาท อีกด้วย 📍 พิกัด: โครงการ ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียร์ ถนนบางนาตราด กม. 7 📞 จองที่อยู่อาศัย ‘ดิ แอสเพน ทรี’ โทร. Call Center กด 1265

เติมเต็มช่วงเวลาแสนสุขที่ “วี วิลล่า ภูเก็ต – เอ็มแกลเลอรี” พร้อมส่วนลดพิเศษ! สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้ เมอร์เซเดส
สร้างช่วงเวลาความสุขอันน่าจดจำด้วยสถานที่ ซึ่งผสมผสานภูมิทัศน์ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ความเป็นส่วนตัวและวิวทะเลอันดามันที่น่าหลงใหล เพื่อมอบประสบการณ์การพักผ่อนอันน่าประทับใจจนยากจะลืม วี วิลล่า ภูเก็ต - เอ็มแกลเลอรี คือบูติกรีสอร์ทระดับลักชัวรี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะภูเก็ต ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยมีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งอยู่รายล้อมเป็นแรงบันดาลใจ จึงสามารถมอบความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้มาเยือนด้วยคอลเลกชั่นพูลวิลลา 19 หลัง ให้คุณสามารถเลือกเข้าพักได้ทั้งแบบ 1, 3 และ 4 ห้องนอน วิลลาแต่ละหลังตกแต่งอย่างมีเสน่ห์ด้วยโทนสีธรรมชาติ โดดเด่นด้วยหน้าต่างสูงโปร่ง และชานไม้ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อพื้นที่ภายในเข้ากับภายนอกอย่างลงตัว คุณจึงสามารถใช้เวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ยังจะได้เพลินเพลินไปกับห้องนอนขนาดกว้างขวาง อันประกอบไปด้วยห้องน้ำขนาดใหญ่พร้อมอ่างอาบน้ำสปาแบบคู่ สระว่ายน้ำอินฟินิตี้ส่วนตัว และบริการผู้ช่วยส่วนตัวหรือบัตเลอร์ตลอด 24 ชั่วโมง และด้วยที่ตั้งของบูติกรีสอร์ทแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาอ่าวยนท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี ผู้มาเยือนจึงสามารถดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรได้อย่างเต็มที่ เนื่องด้วยการออกแบบของรีสอร์ทที่โอบรับภูมิทัศน์อย่างแท้จริง เห็นได้จากการที่วิลลา ห้องอาหาร บาร์ และสปา ที่เสมือนลอยอยู่กลางต้นไม้กลมกลืนไปกับเนินเขา และเชื่อมต่อกับพื้นที่กลางแจ้งได้อย่างลงตัว โดยมีการนำเอาวัสดุธรรมชาติ งานดีไซน์ที่สั่งทำพิเศษ และผลงานศิลปะสไตล์ท้องถิ่นมาใช้ในการตกแต่งเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่น่าจดจำ รวมถึงทำให้นักเดินทางได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ อันเป็นเสน่ห์ของแบรนด์เอ็มแกลเลอรี (MGallery) นอกเหนือไปจากนี้ความเป็นเลิศด้านอาหารและวิวทะเลที่สวยงาม ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ วี วิลล่า ภูเก็ต - เอ็มแกลเลอรีนั้นน่าจดจำ กับ ห้องอาหาร Yon|Ocean House ซึ่งให้บริการอาหารไทย อาหารท้องถิ่น และอาหารสไตล์ยุโรป ผ่านปรุงแต่งอย่างพิถีพิถันจากวัตถุดิบสดใหม่ของท้องถิ่น โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าจะดื่มด่ำกับมื้ออาหารแบบอินดอร์ หรือแบบเอาท์ดอร์ที่ระเบียงกลางแจ้งท่ามกลางธรรมชาติ รวมถึงห้องเก็บไวน์ที่มีตัวเลือกไวน์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมากมาย แต่ที่ต้องไม่พลาดคือ AKOYA|Star Lounge รูฟท็อปบาร์ที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 55 เมตร กับจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม พร้อมวิวทะเล 360 องศา และวิวท้องฟ้ายามค่ำคืน เหมาะสำหรับการผ่อนคลายหรือสังสรรค์กับคนรู้ใจ พร้อมกันนี้ก็ยังมีการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่จะช่วยให้ผู้มาเยือนรู้สึกสดชื่นตลอดการเข้าพัก กับหลากหลายทรีตเม้นท์ที่ วี วิลลา สปา (V Villas Spa) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากไข่มุกที่ถูกเพาะเลี้ยงโดยชาวท้องถิ่น พลังงานอาทิตย์ และธรรมชาติที่จะช่วยฟื้นฟูพลังงานให้กลับคืน หรือหากว่าคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบการว่ายน้ำหรืออาบแดด ก็สามารถผ่อนคลายที่สระว่ายน้ำอินฟินิตี้หลักของรีสอร์ท ที่ผสานเส้นขอบฟ้าและทะเลเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ร่วมด้วยบริการฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ทันสมัย โปรแกรมสุขภาพส่วนบุคคลและคลาสโยคะในวิลลา แต่ใครกำลังมองหาสถานที่จัดงานแต่งงานที่โดดเด่น รีสอร์ทแห่งนี้ก็พร้อมที่จะเป็นคำตอบให้ ด้วยสถานที่จัดงานซึ่งมีให้เลือกถึง 3 บรรยากาศ ได้แก่ YON|Ocean House, AKOYA|Star Lounge และ วิลลาส่วนตัว เพื่อมอบประสบการณ์งานแต่งงานสุดหรูและโรแมนติกพร้อมวิวทะเลอันดามัน นำทีมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านงานแต่งงานของรีสอร์ทที่พร้อมช่วยจัดการในทุกรายละเอียดให้สมบูรณ์แบบที่สุด สิทธิพิเศษ สำหรับสมาชิกสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้ เมอร์เซเดส • ส่วนลด 20% จาก Best Flexible Rate สำหรับการจองห้องพัก • ส่วนลด 20% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอลล์) ที่ห้องอาหาร YON|Ocean House และ AKOYA|Star Lounge • ส่วนลด 20% ที่ V Villas Spa (ไม่รวมสินค้าและแพ็กเกจโปรโมชั่น) เงื่อนไข • สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดหรือโปรโมชั่นอื่น ๆ ได้ • ไม่สามารถใช้ได้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ (22 ธันวาคม 2564 – 2 มกราคม 2565), ตรุษจีน (28 มกราคม – 6 กุมภาพันธ์ 2565), สงกรานต์ (13 - 16 เมษายน 2565) • กรุณาสำรองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน และล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน สำหรับห้องอาหารและสปา สาขาที่ร่วมรายการ V Villas Phuket - MGallery 39/39 หมู่ 8 ถนนอ่าวยน ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต โทร. 076 630 939 อีเมล: HB775-RE@accor.com เว็บไซต์: www.vvillasphuket.com ระยะเวลา: 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 ตุลาคม 2565

‘ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย’ เปิดภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 และทิศทางตลาดไทยในปี 2565
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยปี 2564 ช่วงวิกฤตโควิด19 สู่ทิศทางตลาดในปี 2565 รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบ และเข้าถึงความต้องการที่พักอาศัยในรูปแบบที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปในยุค New Normal รวมถึงแนวคิดที่สอดคล้องในด้านความต้องการที่พักอาศัยของคนส่วนใหญ่ต้องการ Work From Home กันมากขึ้น นายสัญชัย คูเอกชัย ผู้อำนวยการและหัวหน้าส่วนงานวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า มีอุปทานคอนโดมิเนียมมากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 64 จากเดิมที่มีการชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 1 – 3 ของปี เนื่องจากรัฐบาลผ่อนคลายและยกเลิกมาตราการล็อกดาวน์ พร้อมทั้งเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในรูปแบบ Test & Go อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยมีผ่อนปรนมาตราการ LTV เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565 นักพัฒนาจึงมองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดโครงการใหม่ โดยเป็นการเปิดที่เน้นจับกลุ่มเรียลดีมานด์ที่เป็นกำลังซื้อหลักในเวลานี้เท่านั้น อุปทานโดยรวม ณ ไตรมาส 4 ปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 11,252 หน่วย หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นมา 62.7% และเพิ่มขึ้นมา 79.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าหรือเกือบ 56% ของอุปทานตลาดทั้งปี 2564 ซึ้งมีจำนวนทั้งสิ้น 20,015 หน่วย โดยโครงการที่เปิดตัวใหม่ตั้งอยู่บริเวณชานเมือง คิดเป็น 76% หรือ 7,117 หน่วย ในบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) และบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) คิดเป็น 13% และ 11% ตามลำดับ 🏢 เน้นทำตลาดคอนโด 3 ล้านบาท อุปทานที่เปิดขายใหม่ยังเป็นกลุ่มนักพัฒนารายใหญ่สูงถึง 70% จากอุปทานที่เปิดขายทั้งหมด คอนโดที่เปิดขายในไตรมาสนี้อยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 9 แสน – 3.5 ล้านบาท หากแยกตามเกรดจะเป็น คอนโดเกรด C จำนวน 63% และคอนโดเกรด B จำนวน 37% แสดงให้เห็นว่านักพัฒนาเลือกที่จะเปิดขายคอนโดในระดับราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 80,000 – 100,000 บาท/ตร.ม. เพราะเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มที่เป็นกำลังซื้อหลัก ณ เวลานี้ ส่วนของจำนวนคอนโดที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2,835 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายอยู่ที่ 25.2% ซึ่งอัตราการขายลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับในปีก่อนหน้า และลดลง 12.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา อัตราการขายลดลงเนื่องมาจากจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่นั้นมีค่อนข้างมาก ในขณะที่หน่วยขายได้กลับมีน้อยเพราะเป็นโครงการที่ขายเพียงใบจองเท่านั้น แม้ว่าจะมีหน่วยขายที่น้อยแต่ก็มั่นใจได้ว่าห้องที่ถูกขายไปนั้นจะไม่ได้รับการยกเลิก เนื่องจากโครงการมีการประเมินศักยภาพลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้สามารถปิดการขายได้จริง ส่งผลให้ในอนาคตยอดปฏิเสธสินเชื่ออาจจะลดลง โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกำลังซื้อระดับกลางที่ยังมีรายได้แน่นอน และมีมากกว่ากลุ่มนักลงทุน เนื่องจากโครงการที่เปิดขายจะอยู่ในโซนชานเมืองซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (Real Demand) ที่มีความพร้อมในการซื้อค่อนข้างให้ความสนใจโครงการ โดยเฉพาะห้องที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้าน ระดับราคาขายคอนโดในกรุงเทพฯ ณ ไตรมาส 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลงในทุกพื้นที่ โดยบริเวณศูนย์กลางธุรกิจปรับลดลง 4.6% ปีต่อปี อยู่ที่ 239,689 บาท/ตร.ม. ในบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจลดลง 6.3% ปีต่อปี อยู่ที่ 115,659 บาท/ตร.ม. และย่านชานเมืองลดลง 8.2% ปีต่อปี อยู่ที่ 63,258 บาท/ตร.ม. ทั้งนี้สาเหตุมาจากบางโครงการที่เปิดขายมานานและยังไม่สามารถปิดการขายได้ ทำการลดราคาขายลงหรือบางโครงการก็ลดราคาลง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการลดค่าโอน – จำนอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้าน ซึ่งเป็นกลุ่มราคาที่ยังคงมีตลาดรองรับ ส่งผลให้หน่วยเหลือขายในตลาดได้มีการระบายสต็อกออกไปบ้างบางส่วน 🏢 ราคาขายคอนโดอาจเริ่มขึ้นจากสภาวะเงินเฟ้อ และสำหรับปี 2565 นี้ เชื่อว่าตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มทยอยกลับมาฟื้นตัวและมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากนักพัฒนารายใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดใหม่อยู่เฉลี่ยประมาณ 10,000 หน่วย ในไตรมาสแรกของปี 2565 อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่น่ากังวลคือการระบาดของโควิค19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” หากมีการแพร่ระบาดที่รุนแรงและส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งให้กลับเข้าสู่การล็อคดาวน์อีกครั้ง อีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงคือ ภาวะเงินเฟ้อ ที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างให้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว แนวโน้มของราคาขายคอนโดจึงมีโอกาสที่ปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565 และหากโครงการอยู่ในทำเลที่ดี โอกาสในการต่อราคาของผู้ซื้อจะทำได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้มีมาตราการช่วยเหลือและกระตุ้นกำลังซื้อ อาทิ การลดค่าโอน – จำนอง ที่ยืดระยะเวลาออกไปเป็นมาตรการที่กระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้ และระดับราคาคอนโดมิเนียมที่กลุ่มเรียลดีมานด์ให้ความสนใจอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการที่จะทำโปรโมชั่นราคาเพื่อให้สอดรับกับมาตรการลดค่าโอน – จำนองของรัฐบาล เพื่อเป็นการระบายสต็อกที่ยังคงเหลืออยู่ออกไป 🏢 ตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปยังคงส่งสัญญาณบวก ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบที่มีระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นยังคงแข็งแกร่ง โดยนักพัฒนาหันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้นตลอดทั้งปี 2564 แต่ภาพรวมด้านอุปทานในกลุ่มนี้ยังมีไม่มากนัก ขณะที่อุปสงค์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูง ให้ตลาดอสังหาฯ ในกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มสำคัญที่สามารถทำรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการบ้านแนวราบกลุ่มนี้ในระยะที่ผ่านมา แม้ความต้องการของบ้านกลุ่มนี้จะมีค่อนข้างจำกัด แต่พฤติกรรมการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด ส่งผลให้ความต้องการที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบที่อยู่อาศัยจากเดิมให้มีพื้นที่มากขึ้น และยังคงสอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับบ้าน รวมไปถึงทำเลโครงการอยู่ในโซนที่เดินทางง่าย สิ่งเหล่านี้อาจทำให้อุปสงค์ของตลาดกลุ่มนี้มีการขยายตัวมากขึ้นในอนาคต จำนวนใบอนุญาตบ้านในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน (ทั้งโครงการ) พบว่าการอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับกลุ่มบ้านที่มีระดับราคาขาย 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่ปี 2560 ถึง ปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 10,087 หน่วย โดยในปี 2564 นี้พบว่ามีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในกลุ่มนี้ อยู่ที่ 1,785 หน่วย และสิ้นปี 2564 พบว่าบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ยังมีหน่วยเหลือขายอยู่ในปัจจุบันประมาณ 197 โครงการ มีอุปทานสะสมจำนวนทั้งสิ้น 20,434 หน่วย และมีจำนวนหน่วยขายได้ไปทั้งสิ้น 14,766 หน่วย คิดเป็นอัตราการขาย 72% โดยอัตราการขายช่วงสิ้นปี 2564 มีอัตราการขายเพิ่มสูงขึ้นมา 11% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า ที่ 61% และตลอดทั้งปี 2564 มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 3,100 หน่วย ซึ่งเป็นจำนวนค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสอันดีของนักพัฒนาโครงการในตลาดอสังหาฯ กลุ่มนี้ บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10 – 20 ล้านบาท มีอุปสงค์สูงสุดเพิ่มมาอยู่ที่ 8,043 หน่วย รองลงมาคือ 21-30 ล้านบาท และ 31-40 ล้านบาท มีอุปสงค์อยู่ที่ 2,816 หน่วย และ 2,102 หน่วยตามลำดับ ในส่วนของอัตราการขายสูงสุด คือ บ้านที่มีราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท เพราะอุปทานในระดับราคานี้มีอยู่จำกัด ทำให้อัตราการขายสูงที่สุด ซึ่งอัตราการขายอยู่ที่ 90% รองลงมาได้แก่ บ้านราคา 51 – 60 ล้านบาท และ 31 – 40 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตรา 83% และ 82% ตามลำดับ ส่วนบ้านที่มีอุปสงค์ต่ำที่สุดและอัตราการขายต่ำที่สุด คือ บ้านราคา 61 – 70 ล้านบาท รวมถึงตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปในปี 2565 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง อุปทานคาดว่าจะมีมากขึ้น เนื่องมาจากรัฐบาลออกประกาศกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่มีการลดหย่อนภาษี ส่งผลให้นักพัฒนาต้องวางแผนงานเพื่อทยอยพัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา อีกทั้งภาวะการแข่งขันในตลาดจะมีมากขึ้น และความท้าท้ายของนักพัฒนาคือการพัฒนาโครงการด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงพนักงาน ค่าใช้จ่ายของมาตรการโรคระบาดให้แก่พนักงาน รวมถึงต้นทุนของค่าภาษีที่ดินที่ต้องจ่าย 100% 🏢 ตลาดบ้านจะเติบโตจากกลุ่มผู้ซื้อ GEN Y แนวโน้มของผู้ซื้อบ้านจะมีเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงวัยของกลุ่มผู้ซื้อกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งช่วงวัยดังกล่าวคือกลุ่มอายุ 22-38 ปี (Gen Y) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เน้นประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวส่วนมากกว่าการเป็นพนักงานเงินเดือน หรือแม้แต่การรับช่วงกิจการต่อการครอบครัว จากผลวิจัยพบว่าโครงการบ้านในรูปแบบทาวน์โฮมและบ้านแฝด เริ่มที่จะได้รับการตอบรับจากคนในช่วงกลุ่มวัยดังกล่าวขึ้นมาบ้าง เพราะเป็นช่วงอายุที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง เช่น ต้องการขยายครอบครัวหรือสร้างครอบครัว รวมไปถึงการทำเป็นออฟฟิศในบ้านพร้อมอยู่อาศัยไปด้วย ซึ่งรูปแบบบ้านประเภทดังกล่าวมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตรงไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้ซื้อได้อย่างดี นอกจากนี้สิ่งสำคัญในการออกแบบบ้านรองรับกับอนาคต ควรมีการออกแบบให้สอดรับกับเทคโนโลยีให้สะดวกต่อการใช้ชีวิต รวมถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานภายในบ้าน ซึ่งจะเห็นว่าในบางโครงการได้มีการนำมาใช้บ้างแล้ว หรือการออกแบบที่ผสมผสานกับธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมส่งผลที่ดีต่อคุณภาพชีวิต การออกแบบที่รองรับอนาคตหรือที่เรียกว่า Sustainable นั้น จะเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ซื้อให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะคุ้มค่าแก่การลงทุนในการซื้ออยู่อาศัย อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการควรศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภค เพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้สามารถตอบรับกับการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมและครอบคลุม 🏢 อุปทานสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ เติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี นายปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารและหัวหน้าส่วนงานพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ให้ข้อมูลว่า อุปทานรวมของพื้นที่สำนักงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 148,000 ตร.ม. หรือ 2.7% ไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อาคารใหม่อีก 6 แห่ง ที่จะแล้วเสร็จภายในไตรมาสนี้ด้วย สำหรับทั้งปี 2564 อุปทานรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 280,000 ตร.ม. หรือ 5.2% อยู่ที่ 5.66 ล้าน ตร.ม. คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในช่วง 10 ปี มีพื้นที่อีกประมาณ 1.7 ล้านตร.ม. ที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการในช่วงปี 2565 – 2569 คิดเป็นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 340,000 ตร.ม.ในแต่ละปี ซึ่ง 66% ของอุปทานทั้งหมดจะตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ในช่วงอีก 2 ปีข้างหน้า ตลาดสำนักงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนื่องจากมีโครงการใหม่อีก 25 แห่ง รวมพื้นที่ให้เช่าประมาณ 850,000 ตร.ม. ที่แพลนว่าจะแล้วเสร็จ การเช่าปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อัตราการเช่าพื้นที่เพิ่ม (Take up rate) จากเดิมที่ 45,000 ตร.ม.ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 116,000 ตร.ม.ในไตรมาส 4 โดยมาจากอัตราการเช่าที่แข็งแกร่งของอาคารใหม่ที่เพิ่งแล้วเสร็จ ในขณะเดียวกันมีการคืนพื้นที่รวม 70,400 ตร.ม. เนื่องจากอัตราการขายมีปริมาณมากกว่าจำนวนการคืนพื้นที่ อัตราการเช่าพื้นที่ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 45,500 ตร.ม. ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด19 อุปสงค์แสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง จากอัตราการเช่าพื้นที่สุทธิประจำปีดีดตัวขึ้น จากเดิมที่หดตัวลงไป -121,000 ตร.ม. ขยายตัวขึ้นไป 24,800 ตร.ม.ในปีนี้ ทั้งนี้ส่งผลให้พื้นที่ครอบครองรวมเพิ่มขึ้น 0.5% อยู่ที่ 4.62 ล้านตร.ม. อย่างไรก็ตามตลาดยังคงค่อนข้างซบเซา หากเทียบกับช่วงก่อนโควิด19 ซึ่งมีอัตราการเช่าพื้นที่สุทธิเฉลี่ยที่ประมาณ 96,000 ตร.ม.ต่อปี และพื้นที่ที่ถูกครอบครองรวมทั้งหมดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.71 ล้านตร.ม. ในปลายปี 2562 ความต้องการพื้นที่สำนักงานใหม่และสำนักงานที่ตกแต่งใหม่ เป็นตัวขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา โดย 44% ของการขายทั้งหมดในปี 2564 มาจากการเช่าอุปทานใหม่และสำนักงานที่ตกแต่งใหม่ นับเป็นส่วนแบ่งสูงสุดของสัดส่วนการขายในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา บ่งชี้ให้เห็นว่าแม้การประหยัดต้นทุนธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งทางธุรกิจ แต่หลายๆ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับ ‘พื้นที่ที่มีคุณภาพ’ ที่สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของพนักงานได้ นอกจากนี้การลดพื้นที่ด้วยกลยุทธ์การจัดพื้นที่สำนักงานและการใช้ประโยชน์จากตลาดของผู้เช่าเพื่อบรรลุเงื่อนไขการเช่า บริษัทต่างๆ สามารถย้ายที่ตั้งสำนักงานไปยังพื้นที่ที่ดีกว่าได้ โดยอาจจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด 🏢 ตลาดอาคารสำนักงานเกรด B ได้รับผลกระทบมากที่สุด แม้จำนวนพื้นที่เช่ามีปรับเพิ่มขึ้น แต่อัตราการเช่าในตลาดกลับลดลงไป 81.7% โดยลดลง 1.4%