TOP

Slovenia – Small country, big happiness

“ไปสโลวีเนียเถอะ เธอต้องชอบแน่ๆ”

หลังจากได้ยินประโยคนี้จากเพื่อนนักเดินทางหลายต่อหลายคน พอมีโอกาสได้มายุโรป เราจึงใส่ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ไว้ในรายการ ‘สถานที่ที่ต้องไป’ อย่างไม่ลังเล

ที่จริงพอมานึกดูแล้ว แต่ละคนที่แนะนำให้เรามาสโลวีเนียแทบไม่ได้บอกเลยว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเราน่าจะชอบคืออะไรบ้าง แต่คำพูดเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราตัดสินใจซื้อตั๋วรถบัสรอบดึกจากออสเตรีย ตามกำหนดการแล้ว รถจะถึงเมืองลูบลิยานา (Ljubljana) เมืองหลวงชื่ออ่านยากของสโลวีเนีย ซึ่งเราพูดชื่อออกมาแต่ละครั้งไม่เหมือนกันสักรอบ ตอนประมาณตีสี่ครึ่ง

สโลวีเนียเป็นประเทศเล็กๆ นั่งรถไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถเดินทางจากเหนือจรดใต้ได้แล้ว ถึงอย่างนั้น ที่นี่ก็เป็นประเทศที่เล็กแต่ ‘ครบเครื่อง’ เพราะมีทั้งเทือกเขาแอลป์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ หุบเขาและแม่น้ำทางตะวันออก รวมไปถึงชายฝั่งทะเลทางใต้

ความรู้สึกดีเกดิขึ้นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้มองหน้ากับลูบลิยานา ลูบลิยานายามเช้าดูเงียบสงบ สมกับเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในยุโรป แต่ขอเติมให้อีกนิดว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่น่ารักที่สุดด้วย เมืองนี้ต่างจากเมืองหลวงอื่นๆ ตรงที่ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากนัก แต่นี่แหละที่เป็นเสน่ห์ของที่นี่ สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีเป็นพิเศษก็คือการที่เมืองมีขนาดเล็กจนแทบไม่ต้องพึ่งรถในการเดินทางไปยังจุดต่างๆ สำหรับคนที่หลงทิศบ่อยๆ อย่างเรา มีไม่กี่เมืองหรอกที่เราสามารถเดินเล่นสบายๆ ชมเมืองไปเรื่อยๆ ตักตวงความสุขได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องหลงทางแล้วไปต่อไม่เป็น

เดินออกจากใจกลางเมืองมาไม่กี่นาที ตึกสีพาสเทลน่ารักในย่านเมืองเก่าค่อยๆ หลีกทางให้แก่บ้านและตึกแถวที่ปกคลุมด้วยสีสันจัดจ้านของศิลปะบนฝาผนังในย่าน Metelkova ซึ่งเป็นค่ายทหารเก่าที่เปลี่ยนมาเป็นหมู่บ้านศิลปิน เราเดินผ่านบ้านที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกเต็มทั้งกำแพง ผนังทาด้วยสีต่างๆ จนไม่เหลือที่ว่าง มองขึ้นไปเจอกับรูปปั้นชายที่มีหางเป็นกิ้งก่ากำลังนั่งชมวิวอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนหลังคาบ้านอีกหลัง ใกล้ๆ กับสายไฟที่มีรองเท้าผ้าใบนับสิบคู่แขวนห้อยอยู่ อีกทั้งยังมีประติมากรรมที่ไม่แน่ใจว่าคือรูปอะไรวางกระจัดกระจายแบบตามใจเจ้าของอยู่ตามมุมต่างๆ เราชอบที่ Metelkova นิยามตัวเองว่าเป็น ‘autonomous culture zone’ หรือเขตปกครองตนเองทางวัฒนธรรม เพราะสิ่งที่เขาให้ความสำคัญก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ..นี่คือพื้นที่สำหรับทุกคน

ตกเย็นเราเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยของย่านเมืองเก่าอีกครั้ง บรรยากาศเริ่มคึกคักต่างจากยามเช้าที่ดูเงียบๆ เราเดินผ่านทางเดินปูหินและตึกแถวสีหวานๆ ตรงไปยังเนินเขาเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทลูบลิยานา มองลงมาเห็นเมืองทั้งเมือง ตัดกับแนวภูเขาหิมะด้านหลัง ทุกอย่างเป็นสีอุ่นๆ เหมือนมองผ่านฟิลเตอร์แต่งภาพ มองไปทางไหนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หรือบางทีอาจเป็นฟิลเตอร์กรองความสุขในใจเราเองที่กำลังทำงานอยู่

ช่วงเดือนธันวาคม เมืองต่างๆ ในยุโรปจะมี Christmas Market ซึ่งคล้ายกับตลาดนัด แต่จะจัดเฉพาะช่วงใกล้ๆ วันคริสต์มาสเท่านั้น ของที่ขายจะเป็นพวกของประดับบ้าน ขนม และไวน์ร้อน ซึ่งเป็นไวน์ต้มกับเครื่องเทศชนิดต่างๆ ตามสูตรของแต่ละร้าน มักจะใส่มาในแก้วเซรามิกลายน่ารักๆ ให้อารมณ์เหมือนจะจิบชายังไงยังงั้นเลย และตอนที่นำแก้วไปคืนก็จะได้รับเงินส่วนหนึ่งคืนมา

แม้จะไม่ใช่ชาวคริสต์ แต่เรากลับชอบตลาดนัดคริสต์มาสเอามากๆ ในฤดูที่กลางวันสั้นและหิมะตก สถานที่หลายแห่งปิดทำการ ทุกอย่างชวนให้นอนเหงาอยู่ในบ้าน การออกมาเดินตลาดคือโอกาสให้เพื่อนบ้านได้พบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศสบายๆ พร้อมกลิ่นไวน์หอมๆ ส่วนบทสนทนาก็ถือเป็นฮีทเตอร์สร้างความอบอุ่นชั้นดี

เรามีเวลาอยู่ที่สโลวีเนียเพียงไม่กี่วัน จึงเลือกที่จะพักที่ลูบลิยานาตลอด และนั่งรถไปเที่ยวเมืองอื่นๆ แบบเช้าไปเย็นกลับ เมืองแรกที่เราเลือกคือเบลด (Bled) ซึ่งนั่งรถบัสแค่ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว วันนี้เราชักชวนเพื่อนชาวตุรกีที่พักโฮสเทลเดียวกันมาได้อีกคน ก็เลยไม่ต้องเดินคนเดียว

จากป้ายรถบัสเดินมาประมาณห้านาทีก็มาถึงใจกลางเมืองที่ดูเหมือนหมู่บ้านมากกว่า ข้างๆ กันเป็นทะเลสาบซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่ ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวต่างออกมานั่งรับแดดริมน้ำกัน มีเรือให้เช่าเพื่อพายไปยังเกาะกลางทะเลสาบซึ่งมีโบสถ์เก่าตั้งอยู่ เราบอกเพื่อนว่าอยากไปชมวิวมุมสูงของทะเลสาบ เพราะอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตเมื่อคืนนี้ว่ามีเนินเขาแห่งหนึ่งที่จะมองเห็นทะเลสาบทั้งหมด เนินนี้อยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ เท่าที่อ่านมาดูเหมือนทางขึ้นจะเดินสบายๆ ในระหว่างที่เดินเราก็เช็คตำแหน่งในแผนที่เป็นระยะๆ จนมาถึงจุดที่เป็นทางขึ้นเนิน เป็นป่าแห้งๆ บนพื้นปกคลุมไปด้วยใบไม้ เราเดินขึ้นไปสักพักก็เริ่มสังเกตว่าทางเดินมันดูไม่ชัดเจนเหมือนเดิม และยังชันขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนที่อ่านมา จนสงสัยว่าขึ้นมาถูกทางหรือเปล่านะ แต่เรากับเพื่อนตกลงกันว่าไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว ก็ลองเดินไปเรื่อยๆ แล้วกัน ในที่สุดเส้นทางมั่วๆ ของพวกเราก็พาเรามาจนถึงระเบียงแคบๆ ที่มีคนสร้างไว้ มีเพียงรั้วกั้น ป้าย และม้านั่งตัวหนึ่งเท่านั้น

มองออกไปจากระเบียง แทบลืมหายใจ

ทะเลสาบเบลดแผ่ตัวกว้างเต็มตา มองไกลๆ เหมือนลานสีฟ้าสดท่ามกลางต้นสนที่รายล้อมหมู่บ้าน หอคอยโบสถ์ตั้งเด่นสะท้อนน้ำอยู่กลางลานสีฟ้านั้น ด้านหลังไกลๆ เป็นแนวเทือกเขา ภาพทั้งหมดสวยจนลืมความเหนื่อย คุ้มค่าทุกก้าวที่เดินขึ้นมา

“ขอบคุณที่พามาที่นี่นะ” เสียงของเพื่อนดังขึ้นมาจากข้างๆ ตัว

“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณที่มาเป็นเพื่อน ขอโทษนะที่พาหลง”

            และหลังจากเดินวนถ่ายรูปในลานแคบๆ จนครบทุกมุมแล้ว เราก็ค้นพบว่า ที่จริงแล้วมันมีทางเดินขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นทางที่ถางไว้อย่างดีและเดินสบายมาก ไม่ทันเหนื่อยก็กลับมายืนบนถนน สบตากับทะเลสาบสีฟ้าเหมือนเดิมแล้ว

เราเดินวนอีกด้านให้ครบรอบทะเลสาบ เพื่อที่จะกลับไปยังตัวเมืองรอขึ้นรถบัส ทางฝั่งนี้ก็สวยไม่แพ้ฝั่งเดิม แสงแดดตอนบ่ายแก่ๆ ค่อยๆ เปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นสีชมพูอมส้มอุ่นๆ ดูแปลกตาไปจากสีฟ้าสดเมื่อตอนที่เรามาถึง ช่วงเย็นคือช่วงเวลาที่เราชอบที่สุด เพราะจะได้เห็นท้องฟ้าและบรรยากาศรอบตัวค่อยๆ เปลี่ยนสีอย่างช้าๆ เป็นการแสดงรอบพิเศษของธรรมชาติที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้

ตอนที่เรากลับมาถึงลูบลิยานา ท้องฟ้าสีส้มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว เพื่อนชวนไปร้านอาหารไทยที่อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ และบอกว่าอยากลองอาหารไทยมานานแล้วแต่ไม่รู้ว่าเมนูไหนอร่อย เราฟังแล้วก็งงปนดีใจที่มีร้านอาหารไทยมาเปิดในเมืองเล็กๆ แบบนี้ด้วย แต่ตัวร้านนั้นไม่เล็กเลย รถตุ๊กตุ๊กขนาดเท่าของจริงที่ตั้งอยู่หน้าร้านเด่นจนเราแปลกใจว่าทำไมไม่เคยสังเกตมาก่อน พ่อครัวหน้าฝรั่งแต่ทำอาหารรสชาติใกล้เคียงกับที่เมืองไทยมาก สูดกลิ่นพริกแล้วคิดถึงบ้านขึ้นมาทันที ถือเป็นการจบวันได้อย่างสวยงาม

วันสุดท้ายในสโลวีเนีย เราตั้งใจจะอยู่ว่างๆ หาที่นั่งเล่นในเมืองก่อนจะขึ้นรถบัสรอบดึกออกจากที่นี่ แต่ตอนแวะซื้อตั๋วที่สถานีรถบัสก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาทัวร์เมืองที่มีชื่อสั้นๆ ว่าปิราน (Piran) รูปที่แปะไว้คือรูปเดียวกันทุกแผ่น เป็นรูปเมืองริมทะเล หลังคาบ้านสีส้มเรียงกันแน่น ตัดกับสีฟ้าอมเขียวของผืนน้ำ ถามที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วได้ความว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง และค่าตั๋วไม่แพง เราจึงเปลี่ยนแผนกะทันหันไปเที่ยวเมืองชายทะเลแห่งนี้แทน

แม้ว่าทุกวันนี้การเดินทางโดยเครื่องบินจะทั้งถูกและสะดวกสบาย แต่เราก็ยังชอบเดินทางด้วยรถบัสและรถไฟมากกว่า และถ้าไม่ได้ใช้เวลานานมาก เราจะเลือกเดินทางรอบกลางวัน เพราะชอบดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จากตึกสีลูกกวาดเต็มไปด้วยรายละเอียดน่ารักในลูบลิยานา ไปเป็นทุ่งหญ้าและเนินเตี้ยๆ กับบ้านหลังเล็กๆ ในแถบชนบท จนกระทั่งเห็นทะเลอยู่ไกลลิบๆ และวิ่งเลียบชายฝั่งเข้ามาในเขตบ้านหลังคาสีส้มของเมืองปิรานในที่สุด ยิ่งถ้าได้มองสิ่งเหล่านี้ผ่านทางหน้าต่างกว้างๆ ของรถไฟละก็ เหมือนกำลังนั่งดูโทรทัศน์ไม่มีผิด

แวบแรกที่ได้เห็นปิราน เราจัดมันให้อยู่ในประเภทเมืองที่ ‘สวยมาตั้งแต่เกิด’ ทันที เมืองที่สวยมาแต่เกิดสำหรับเราคือเมืองที่มีสภาพภูมิประเทศหรือมีธรรมชาติที่สวยงามอยู่แล้ว แม้ตัวเมืองที่สร้างจะไม่ได้สวยมาก แต่ดูรวมๆ ยังไงก็สวย แต่นอกจากปิรานจะสวยมาตั้งแต่เกิดแล้ว ตึกรามบ้านช่องที่นี่ก็สวยด้วย ไม่แปลกใจที่จะเห็นป้ายโฆษณาเยอะขนาดนั้นในสถานีรถบัส ตึกของปิรานทาสีโทนเหลืองอ่อนแทบทั้งหมด หลังคาปูด้วยกระเบื้องสีส้ม และยังตั้งอยู่บนแผ่นดินแหลมๆ ที่ยื่นออกไปในทะเล ทำให้มองเห็นทะเลได้จากหลายๆ จุดในเมือง

ปิรานในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเวเนเชียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีในปัจจุบัน ตึกส่วนใหญ่ของเมืองถูกสร้างขึ้นในยุคนั้น ทำให้ออกมาหน้าตาคล้ายเมืองชายฝั่งของอิตาลี หลังจากอาณาจักรล่มสลายลง ปิรานตกเป็นของอาณาจักรอื่น และกลับมาเป็นของอิตาลีอีกครั้งก่อนจะตกเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวียจนได้รับอิสรภาพในปี 1991 ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีวัฒนธรรมหลายแบบที่ผสมผสานกันอย่างน่าสนใจ

เราเริ่มเดินจากใจกลางเมืองซึ่งเป็นท่าจอดเรือ มีเรือจอดทิ้งไว้เต็มเวิ้งน้ำ ถ้ามาเที่ยวช่วงฤดูร้อนคงจะมีชีวิตชีวามาก ต่างกับตอนนี้ที่ดูเงียบๆ แต่ดีตรงที่ได้มีเวลาสงบๆ เต็มที่ ข้างๆ กันเป็นจัตุรัสกลางเมือง ในเมืองนี้จะแทบไม่มีรถวิ่งเลย เพราะถนนทั้งแคบและชัน บางจุดเป็นขั้นบันไดลดเลี้ยวไประหว่างตึก มองมุมไหนก็อยากจะถ่ายรูปไปหมด เราเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ จนไปถึงกำแพงเมืองเก่า ซึ่งมีพื้นที่ให้เดินเล่นและชมวิวมุมสูง มองเห็นเส้นสายของผืนดินที่ยื่นแหลมออกไปในพื้นที่สีฟ้าของทะเลชัดเจน และเพิ่งได้เห็นว่าจตุรัสกลางเมืองนั้น ที่จริงแล้วมีรูปร่างเป็นวงรีต่างหาก ขอบมนๆ ของพื้นที่ปูด้วยสีขาวตัดกับลายตารางของแผ่นหินรอบนอก เป็นความแปลกตาที่น่ารักดี

เราเลือกที่จะจบวันแบบสบายๆ ด้วยการไปนั่งจิบชาร้อนๆ ในร้านเล็กๆ ที่หันหน้าเข้าหาทะเล ที่นี่ไม่มีชายหาด มีแต่หาดหินและหน้าผา แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศยามเย็นดูด้อยไปแต่อย่างใด เรากลับคิดว่าถ้ามีหาดทรายก็อาจจะไม่ได้ดูลงตัวขนาดนี้ด้วยซ้ำ

รถบัสของเราจะออกเดินทางตอนดึกๆ กลับไปถึงลูบลิยานาแล้วเรายังมีเวลาเหลือเฟือ เราเข้าร้านอาหารไทยร้านเดิมไปสั่งผัดกะเพราเผ็ดน้อยของโปรดมาเติมท้อง นั่งรอเวลารถออก ในใจนึกเสียดายที่มีเวลาทำความรู้จักประเทศเล็กๆ ที่น่ารักนี้น้อยเกินไป พลางสัญญากับตัวเองอยู่ในใจว่าจะกลับมาอีก แม้จะไม่รู้ว่าโอกาสนั้นจะมาถึงเมื่อไร

แต่ตอนนี้ถ้าใครมาถามเรา เราก็จะตอบว่า

“ไปสโลวีเนียเถอะ เธอต้องชอบแน่ๆ”